ทำไมแบงก์ชาติ...ควรจะลดดอกเบี้ยลงอีก
ตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยในไตรมาส 2 ที่เพิ่งประกาศออกมาถือว่าค่อนข้างเป็นไปตามที่หลายคนได้คาดการณ์กันไว้
ปรากฎว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ผ่านมาจีดีพีติดลบ 12.2%รวมทั้งภาคการส่งออกที่ติดลบ 10% ทำให้จีดีพีหดตัวลงมากโดยการลงทุนรวมในไตรมาสก่อนลดลง 8% การบริโภคเอกชนลดลง6.6%
สำหรับเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกปรากฎว่าติดลบ 6.9% การบริโภครวมลดลง 7.2% การลงทุนรวมลงลง 10.2% ขณะที่การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 1.2% การส่งออกครึ่งปีแรกลดลง 17.8%
นอกจากนี้สภาพัฒน์ยังปรับประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ลงโดยคาดว่าจะติดลบ7.8 % ถึง -7.3 % โดยมีค่ากลางที่7.5%ส่วนการบริโภคคาดว่าจะลดลงร้อยละ3.1 และการลงทุนคาดว่าจะลดลงร้อยละ2.1รวมถึงการส่งออกคาดว่าจะลดลงร้อยละ20โดยภาพทั้งหมดถือว่าใกล้เคียงกับที่ผมเคยทำประมาณการไว้ในงานสัมมนาของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน/ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเกือบ4 เดือนก่อน
สหรับในครึ่งหลังของปีนี้ของเศรษฐกิจไทยผมมองว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดมีอยู่3 ประการได้แก่หนึ่งการระบาดระลอกสองของโควิดสองการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอีกรอบจากปัจจัยด้านอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงเนื่องจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐต่อโควิดที่ใกล้จะหมดลงและสามปัจจัยการเมืองในประเทศที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการชะลอเม็ดเงินลงทุน
รูปที่1 จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตของไทยในโรคระบาดไข้หวัดหมู(Swine Flu) เมื่อปี2009
เริ่มจากปัจจัยการระบาดระลอกสองของโควิดแม้ว่าในขณะนี้บ้านเราจะปลอดจากผู้ติดเชื้อของประชาชนภายในประเทศมากว่า1 เดือนแล้วอย่างไรก็ดีหากพิจารณาจากโรคระบาดSwine Flu หรือไข้หวัดหมูในบ้านเราเมื่อปี2009 จะพบว่าระยะเวลาระหว่างโรคระบาดระลอกแรกกับระลอกสองห่างกันอยู่ประมาณ30 สัปดาห์ดังรูปที่1โดยที่ความรุนแรงของโรคระบาดระลอกสองอยู่ที่ราวครึ่งหนึ่งของระลอกแรก
นอกจากนี้นิวซีแลนด์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีผลงานที่บริหารจัดการกับโควิดได้ดีเป็นอันดับต้นๆของโลกก็พบผู้ติดเชื้อโควิดอีกครั้งโดยจำนวนตัวเลขdouble digit หลังที่ไม่พบผู้ติดเชื้อมาแล้วกว่าร้อยวันดังนั้นปัจจัยการระบาดระลอกสองของโควิดในบ้านเราก็ยังไม่สามารถที่จะกาทิ้งออกไปได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นตรงนี้ยังไม่นับรวมการระบาดระลอกสองของโควิดของประเทศเพื่อนบ้านที่จะทำให้การค้าระหว่างกันตามขอบชายแดนลดลงอีกด้วย
สองการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอีกรอบจากปัจจัยด้านอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงอีกครั้งเนื่องจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐต่อโควิดที่ใกล้จะหมดลงในขณะที่ประชาชนยังคงตกงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซกเตอร์การบริการที่พึ่งพาลูกค้าต่างชาติในบ้านเราก็ยังไม่สามารถเปิดทำการได้หรือได้อย่างเต็มที่หรือที่เรียกกันว่าGreater Recession
ประเด็นนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ค่อนข้างใหม่ในวงการเศรษฐศาสตร์เนื่องจากวิกฤตที่ผ่านมาทุกรอบในgeneration ของเราไม่เคยมีปรากฏการณ์นี้มาก่อนทำให้ค่อนข้างยากที่จะประเมินระดับการลดลงของอุปสงค์ที่มีผลต่อจีดีพีทว่าคาดการณ์กันว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยละ1-1.5 ของจีดีพี
ท้ายสุดการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยซึ่งถือเป็นเทรนด์ของประเทศต่างๆทั่วโลกก็ถือเป็นปัจจัยที่จะผลต่อความเชื่อมั่นและการชะลอเม็ดเงินลงทุนเนื่องจากปรากฎการณ์ทางสังคมนี้ที่กำลังแพร่หลายในขณะนี้ถือเป็นสิ่งใหม่ในบ้านเราแม้ว่าผมยังมองว่าน่าจะไม่รุนแรงเท่ากับฮ่องกงเมื่อปีที่แล้วทว่าก็ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นอยู่บ้างโดยเฉพะอย่างยิ่งในมิติของเสถียรภาพทางการเมืองในระยะยาวที่ค่อยๆจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไปหากฝ่ายๆยังไม่หันหน้ามาคุยกันอย่างเข้าใจในเร็ววัน
รูปที่2 คาดการณ์อัตราการเติบโของจีดีพีของไทยหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่ลดลงจากนี้
รูปที่3 คาดการณ์อัตราการเติบโของจีดีพีของไทยหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลดลงจากตอนนี้1-2 ครั้ง
ทำให้ผมมองว่าปัจจัยเสี่ยงทั้งสามที่กล่าวข้างต้นของเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งด่านหินที่สำคัญจะทำให้เกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจของไทยเพิ่มเติมต่ออีกระลอกสองของปีโดยจากรูปที่2 และ3จะพบว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีของไทยจะลงไปที่ร้อยละ-9.2 หรือจะใกล้เคียงกับที่สภาพัฒน์คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ-7 ตามลำดับอยู่ที่การตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำลงเป็นที่ระดับร้อยละ0-0.25 หรือไม่
เหตุผลคือจากงานศึกษาด้านนโยบายการคลังหลายฉบับพบว่าค่าคงที่ของการส่งผ่านจากมาตรการคลังที่ผ่อนคลายไปยังอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือFiscal Multiplier ภายใต้บรรยากาศของอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นศูนย์(Zero Lower Bound) จะมีขนาดเป็นสี่เท่าของบรรยากาศของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มากกว่าศูนย์
ซึ่งจากรูปที่2 และ3 จะพบว่าเมื่อรัฐบาลออกแพ็คเกจการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของแพ็คเกจกระตุ้นรอบแรกจะพบว่าหากแบงก์ชาติยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับในตอนนี้คาดการณ์ว่าจะทำให้จีดีพีของไทยในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ-9.2ในขณะที่หากลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงคาดการณ์ว่าจีดีพีของไทยในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ -6.1
ทั้งนี้สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากหากลดอัตราดอกเบี้ยลงประชาชนจะมองว่าภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลจากการกู้เงินหรือออกพันธบัตรน่าจะลดลงมากจนไม่ต้องเพิ่มอัตราภาษีขึ้นมาในอนาคตซึ่งทำให้ประชาชนกล้าที่จะใช้จ่ายเงินมากขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย
แน่นอนว่าการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจนระดับใกล้เป็นศูนย์จะส่งผลต่อผลตอบแทนสำหรับเงินออมของคนวัยเกษียณให้ลดลงและยังเกิดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินเพิ่มเติมจากปรากฏการณ์search for yield อย่างไรก็ดีความไม่แน่นอนของปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจในวันนี้ถือว่าอาจจะมีมากเกินกว่าผลดีจากการคงดอกเบี้ยไว้เพื่อเลี่ยงผลเสียอันมาจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ระดับร้อยละศูนย์ก็เป็นได้