ภาพรวมกำไรสุทธิไตรมาส2 /64-คาดการณ์ SET ในช่วงครึ่งหลังของปี

  ทำให้ครึ่งปีแรกของปีนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ MAI มีกำไรสุทธิรวมที่ 4.90 แสนล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 109%YoY สาเหตุหนึ่งเกิดจากฐานกำไรที่ต่ำในช่วงไตรมาส 2 ปีที่แล้วจากการล๊อกดาวน์เต็มรูปแบบในประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลักดันให้ผลการดำเนินงานโดยรวมเติบโตขึ้น ประกอบด้วย กลุ่ม Energy และ Utilities เติบโต 343%QoQ และ 1032%YoY, กลุ่ม Petrochemical เติบโต 97%QoQ และ 1924%YoY โดยการเติบโตของกลุ่ม Energy และ Utilities, และกลุ่ม Petrochemical เกิดจากเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้นในหลายประเทศทั้งจีน สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ส่งผลให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้น และกําไรจากสต็อกคงคลังเพิ่มขึ้น รวมทั้ง PTTGC มีกําไรพิเศษจากการขายหุ้น GPSC และ IVL มีรายได้พิเศษจากสินทรัพย์ในบราซิล

นอกจากนี้กลุ่ม Utilities มีรายได้จากลูกค้าอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นได้ดี, ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่, ปริมาณน้ำในประเทศลาวค่อนข้างมากส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศลาว, และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา, กลุ่ม Construction Materials เติบโต 19%QoQ และ 66%YoY จากส่วนต่างราคาในธุรกิจปิโตรเคมีของ SCC และ TPIPL ที่แข็งแกร่ง, กลุ่ม Food & Beverage เติบโต 17%QoQ และ 64%YoY จากผลขาดทุนลดลงกว่าครึ่งจากธุรกิจโรงแรมในยุโรปที่ฟื้นตัวได้ดีของ MINT และ TU มีกําไรสุทธิเติบโตดีจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาจากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินบาทอ่อนค่า

กลุ่ม Health Care Services เติบโต 81%QoQ และ 491%YoY จากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ทั้งการตรวจหาเชื้อรายวันและจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษารายวันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก, กลุ่ม Steel เติบโต 33%QoQ และ 2623%YoY จากราคาเหล็กปรับตัวสูงขึ้นมากทั้ง QoQ และ YoY, และกลุ่ม Electronics เติบโต 11%QoQ และ 24%YoY จากความต้องการซื้อค่อนข้างมากจากต่างประเทศและเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่กลุ่มที่ผลการดำเนินงานยังคงขาดทุนอย่างต่อเนื่อง คือกลุ่ม TOURISM เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวได้ในจำนวนจำกัด จากผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทย

หากเปรียบเทียบผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2021 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ประกาศออกมากับประมาณการของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) ของบริษัทจดทะเบียนจํานวน 206 บริษัท พบว่ามีกําไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2.43 แสนล้านบาท ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 10%  โดยตลาดประเมินกำไรสุทธิไว้ที่ 2.21 แสนล้านบาท โดยมีบริษัทที่ผลการดำเนินงานดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์จำนวน 96 บริษัท (ผลการดำเนินงานดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป), บริษัทที่ผลการดำเนินงานตามที่ตลาดคาดการณ์จำนวน 50 บริษัท (ผลการดำเนินงานมากกว่าหรือน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไม่เกิน 5%) และบริษัทที่ผลการดำเนินงานแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์จำนวน 60 บริษัท (ผลการดำเนินงานแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป) หรือคิดเป็นสัดส่วน 47% : 24% : 29% ตามลําดับ

 ถึงแม้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2021 ส่วนใหญ่จะดีกว่าที่ ตลาดคาดการณ์ แต่ผลการดำเนินงานน่าจะผ่านจุดสูงสุดของปีนี้ไปแล้วโดย Consensus ประมาณการกําไรของตลาดโดยรวม (SET EPS) มีแนวโน้มปรับตัวลง สะท้อนทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงและผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเกินกว่าสิ้นเดือนสิงหาคมจะส่งผลในเชิงลบต่อประมาณการอย่างต่อเนื่อง

โดยดัชนี SET อาจเกิดความผันผวนขาลงในไตรมาส 3 ปี 2021 จากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2021 ที่ปรับตัวลง เนื่องจากการเร่งตัวของแพร่ระบาดของ COVID-19 และการกระจายวัคซีนที่ล่าช้า ส่งผลให้การเปิดเมือง(Reopening) เป็นไปอย่างล่าช้า กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะสำคัญแต่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2021 จะลดลงไม่มากเหมือนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 เนื่องจากการล๊อกดาวน์แบบเต็มรูปแบบในครึ่งปีแรกของปี 2020

นอกจากนี้ในขณะนี้การส่งออกและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในปีนี้สามารถเติบโตได้ดีต่างจากปีที่ผ่านมา แต่ยังมีปัจจัยภายนอกประเทศ เรื่อง QE Tapering ที่เป็นแรงกดดัน SET แต่คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เร็วที่สุดอาจเกิดขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2021 จากการตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายวันลดลง การกระจายวัคซีนที่ครอบคลุม จะส่งผลให้ SET ปรับตัวขึ้นได้ โดยบลจ.ทาลิสมองเป้าหมาย SET ณ สิ้นปี 2021 อยู่ที่ระดับ 1,650-1,700 จุด ทั้งนี้ ประมาณการ SET EPS ของตลาดในปี 2021F อยู่ที่ระดับ 84.50 บาท/หุ้น