เตรียมตัวเข้าสู่ยุค Metaverse

เตรียมตัวเข้าสู่ยุค Metaverse

Metaverse ปรากฏขึ้นครั้งแรกปี 2535 ในนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Snow Crash ของ Neal Stephenson มาจากการผสมคำว่า meta ที่แปลว่าเหนือ (beyond) กับจักรวาล (universe) ตอนนี้ถูกพูดถึงอย่างมากเมื่อเฟซบุ๊คประกาศว่าจะก้าวจากบริษัทโซเชียลมีเดียไปเป็นบริษัท Metaverse

เทคโนโลยีล้ำๆ ทำให้นับจากนี้การใช้ชีวิตในโลกจริงและโลกเสมือนจะมีแค่เส้นบางๆ เท่านั้นที่กั้นระหว่างกัน เราสามารถเดินชอปปิงในห้างดังๆ ทั่วโลก พูดคุยกับพนักงานขาย ทดลองสินค้าได้โดยนั่งอยู่ที่บ้าน หรือดูคอนเสิร์ตของศิลปินระดับโลกอย่างได้อารมณ์ ลุกขึ้นมาร้องและเต้นกับคนข้างเวทีก็ได้ ราวกับอยู่ในคอนเสิร์ตฮอลล์ที่นิวยอร์ก ทั้งๆ ที่อยู่บ้าน เหล่านี้คือชีวิตที่เป็นไปได้ในโลกแห่ง Metaverse

Metaverse คืออะไร ตอบง่ายๆ ว่ามันคือการเชื่อมต่อกันอย่างเป็นเนื้อเดียวของโลก VR (Virtual Reality) กับ AR (Augmented Reality) หรือจะหมายความว่าเป็นยุคของอินเทอร์เน็ตแบบ 3 มิติก็ยังได้ ที่เราจะ log on ผ่านเฮดเซตไม่ใช่หน้าจอเพื่อการจับเนื้อหาและความเคลื่อนไหว ผู้ใช้ไม่ใช่แค่ผู้ “ดู” อย่างตอนนี้ แต่จะเป็นผู้เข้าไป “ท่อง” ในจักรวาลเสมือนจริงร่วมกับทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการได้เลยทีเดียว

Metaverse จะทำให้ผู้ใช้เข้าไปสู่อีกโลกคือโลกเสมือนในขณะที่ตัวยังอยู่ในโลกจริง เราสามารถสร้างตัวตนในรูป Avatar ลองนึกดูว่าจะดีขนาดไหนหากได้ประชุมจากบ้าน แต่ให้ความรู้สึกต่างไปจากที่เป็นอยู่อย่างวันนี้ เพราะจะมีตัวเรานั่งอยู่ในห้องประชุมบริษัทด้วยกันกับคนอื่นๆ แบบ 3 มิติ สามารถพูดคุย ทักทาย สนทนากันแบบซึ่งหน้าราวกับทุกคนอยู่ในที่ประชุมจริงๆ ทั้งที่นั่งอยู่ที่บ้าน

เด็กๆ จะเรียนหนังสือสนุกขึ้น เพราะสามารถสร้าง Avatar แทนตัวเองเข้าไปเรียนในห้องเรียนเสมือน ดังนั้น Metaverse จะทำให้ทุกคนมีสิทธิใช้ชีวิตให้สนุกสุดเหวี่ยงเหมือนชีวิตในโลกคอมพิวเตอร์เกมนั่นเอง

เทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวเข้าสู่ยุค 6G ในอนาคตอันใกล้ บวกกับการทุ่มทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ จะเป็นตัวเร่งให้ชีวิตแบบ Metaverse เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการอุบัติของโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ที่ผลักคนเข้าสู่โลกออนไลน์ จุดประกายความสนใจการใช้ชีวิตเสมือนอย่างกว้างขวางและร้อนแรง

Metaverse จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตทุกด้านของผู้คน ทั้งในวงการค้าปลีก การเงิน การก่อสร้าง การบันเทิง การท่องเที่ยว การศึกษา การแพทย์ การทหาร และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยประโยชน์ที่กว้างขวางเช่นนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ประกาศการสร้างแนวร่วมระหว่างภาครัฐ มหาวิทยาลัย 

และภาคเอกชนเพื่อเตรียมการสร้างระบบนิเวศและแพลตฟอร์ม Metaverse ระดับชาติ ที่ยักษ์ใหญ่อย่างซัมซุงและฮุนได กระโดดเข้าร่วมด้วย เพื่อหาแนวทางในการสร้าง ควบคุมและกำกับ Metaverse ไม่ให้เป็นแพลตฟอร์มผูกขาดของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ในขณะที่ฝั่งตะวันตก แอปเปิ้ล เฟซบุ๊ค ไมโครซอฟท์ และกูเกิล ต่างเร่งมือพัฒนา Metaverse กันอย่างจริงจัง

ยังไม่อาจคาดเดาอนาคตว่า Metaverse จะก๊อบปี้ตัวตนของผู้ใช้งานและสภาพชีวิตจริงออกมาได้อย่างสมบูรณ์ในระดับไหน และจะใช้เวลาอีกนานเท่าไร ยังไม่นับถึงปัญหาอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องพัฒนาอีกมาก เฮดเซตที่ใช้ควบคู่กับซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชั่น ณ วันนี้ยังใหญ่โตเหมือนหมวกกันน็อคก็ไม่ปาน
 

แต่เชื่อว่าอีกไม่นานจะดีขึ้นเรื่อยๆ สังเกตจากที่ Facebook เพิ่งแนะนำแว่นตาอัจฉริยะที่ร่วมกับเรย์แบนพัฒนาขึ้นในชื่อ Ray Ban Stories ไปเมื่อเร็วๆ นี้ รวมทั้งค่ายจากจีนอย่างเสียวหมี่ก็ไม่ยอมน้อยหน้าวางตลาด Smart Glasses ออกมาเกือบจะในเวลาเดียวกัน 

แม้แว่นตานี้จะยังห่างไกลจากการใช้งานแบบ Metaverse แต่ก็พอจะบอกเป็นนัยกับตลาดได้ว่าในไม่ช้าแว่นยุค Metaverse จะได้รับการพัฒนาให้ตอบโจทย์การใช้งานได้ไม่ต่างจากแว่นธรรมดาที่สวมใส่กันทั่วไป

Metaverse คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ เพื่อให้ลงตัวทั้งความง่าย สะดวก ราคาถูก เพื่อดึงดูดให้คนอยากใช้งานบนเทคโนโลยีสนับสนุนที่เก่งพอจะเชื่อมทั้งโลกจริงและโลกเสมือนให้เนียนแบบไร้ตะเข็บ เพื่อให้ Avatar ของผู้ใช้กระโดดข้ามแพลตฟอร์มที่ต่างกันไปมาได้ เมื่อเวลานั้นมาถึง ใครๆ คงอยากจะสร้างตัวตนใหม่ ในโลกใหม่ที่ต่างไปจากโลกอันแสนจะยุ่งเหยิงใบนี้กันอย่างไม่รีรอ ที่สำคัญ Metaverse จะเป็นแหล่งสร้างโอกาสและเงินทองได้อีกอย่างมหาศาล.

อ้างอิง : www.washingtonpost.com/technology/2021/08/30/what-is-the-metaverse/
www.reuters.com/technology/what-is-metaverse-how-does-it-work-2021-09-08/