มองอนาคตโลกการลงทุน หลังศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

มองอนาคตโลกการลงทุน หลังศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเป็น Republican Sweep ส่งผลให้ Yield Curve ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มความชันขึ้น แบบ Bear Steepener (Yield ระยะยาวปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าระยะสั้น) จากการใช้จ่ายการคลังที่มากขึ้น และจากคาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ระยะสั้น มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นโลก จากแผนการลดภาษีเงินได้

ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนทุกท่านล้วนเฝ้าติดตาม ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เป็นอย่างมาก โดย SCB CIO ประเมินว่า สิ่งที่สำคัญของผลการเลือกตั้ง ที่จะกำหนดแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุน คือ แนวนโยบายที่สำคัญด้านต่างๆ ดังนี้

1.นโยบายด้านการคลังและการจัดเก็บภาษี 

อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เสนอแผนด้านการคลังต่างๆ เช่น ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลบนรายได้ในประเทศ จาก 21% เป็น 15% ยืดระยะเวลาการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่จะหมดอายุสิ้นปี 2568 ออกไปอีก 10 ปี และยกเลิกการให้เครดิตภาษีแก่กลุ่ม green energy ภายใต้ Inflation Reduction Act (IRA) เป็นต้น ขณะที่ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กมลา แฮร์ริส มีนโยบายปรับเพิ่มภาษีเงินได้ เช่น เพิ่มภาษีนิติบุคคลที่มีรายได้ในประเทศ จาก 21% เป็น 28% นิติบุคคลที่มีรายได้ในต่างประเทศจาก 10.5% เป็น 21% เพิ่มภาษีการซื้อหุ้นคืน จาก 1% เป็น 4% รวมทั้ง เพิ่มภาษีเงินได้ สำหรับผู้ที่มีเงินได้มากกว่า 4 แสนดอลลาร์ สรอ./ปี จาก 37% เป็น 39.6% และเพิ่มภาษี capital gain กับผู้มีรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ สรอ./ปี จาก 20% เป็น 28% รวมทั้ง เพิ่ม Tax Credit วงเงิน 6,000 ดอลลาร์ สรอ. สำหรับเด็กอายุ 0-1 ปี เป็นต้น

 

เรามองว่า หากพรรคใดครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา (sweep) จะทำให้การออกหรือปรับเปลี่ยนนโยบายทางการคลังทำได้อย่างรวดเร็ว และมีผลบังคับใช้ได้นาน ทั้งนี้ หากทรัมป์เป็นประธานาธิบดี จะส่งผลให้ยอดขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าของแฮร์ริส จากการปรับลดอัตราภาษีเงินได้ และเพิ่มการใช้จ่ายรัฐบาล และจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดี และยังเผชิญความท้าทายบนประเด็นความยั่งยืนทางการคลัง ทำให้เรามองว่า รัฐบาลทรัมป์อาจยังมีความระมัดระวังที่จะเพิ่มการขาดดุลการคลังอย่างมากและต่อเนื่อง ขณะที่ผลบวกจากแผนทางการคลังของแฮร์ริสต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีน้อยกว่าทรัมป์

2.นโยบายการค้าระหว่างประเทศ 

ทรัมป์ มีนโยบายเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนที่ 60% และ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น (ยกเว้นจีน) ที่ 10-20% รวมทั้ง อาจเก็บภาษีนำเข้าคู่ค้าที่เก็บภาษีสหรัฐฯ ให้สอดรับกับที่สินค้าส่งออกสหรัฐฯ เผชิญ ขณะที่ แฮร์ริส ยังคงดำเนินแผนเก็บภาษีนำเข้าตามแผนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยยังมีแนวโน้มกีดกันการค้ากับจีนอยู่ แต่อาจเน้นไปที่การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนในแบบเจาะจง และที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ นอกจากนี้ ยังควบคุมการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีที่มีความอ่อนไหวต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ เช่น Semiconductors และ AI

เรามองว่า หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะสามารถใช้อำนาจฝ่ายบริหาร ปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีนอยู่ที่ 60% ได้ โดยไม่จำเป็นต้องครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา (Republican sweep) นอกจากนี้ ยังมีอำนาจทางกฎหมายที่จะบังคับใช้กำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศ (ยกเว้นจีน) ที่ 10%-20% เป็นการชั่วคราว ตามกฎหมายสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้ขึ้นภาษีนำเข้าชั่วคราวได้ถึง 15% และนานสูงสุดถึง 5 เดือน อย่างไรก็ดี เรามองว่า แผนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศ (ยกเว้นจีน) น่าจะเริ่มดำเนินการล่าช้ากว่าแผนอื่น เช่น แผนการปรับลดภาษีเงินได้ แผนการผ่อนคลายกฏระเบียบ โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงสิ้นปี 2568 หรือปี 2569 เนื่องจาก ยังไม่ใช่แผนเร่งด่วน และสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากระจุกตัวกับเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น สำหรับ ผลกระทบจากการที่ทรัมป์เก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น จะทําให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น และเงินดอลลาร์ สรอ. มีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินประเทศคู่ค้า ขณะที่ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะหากคู่ค้ามีการขึ้นภาษีตอบโต้กลับสหรัฐฯ รวมทั้ง ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น เราจึงมองว่า จากนโยบายการค้าต่างประเทศของทรัมป์ จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ธนาคารกลางประเทศต่างๆ จึงมีแนวโน้มผ่อนคลายทางการเงินต่อไป ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อาจทำให้ Fed แข็งกร้าวมากขึ้น ขณะที่ เรามองว่า หากแฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งฯ นโยบายการค้าจะเปลี่ยนแปลงค่อนข้างจำกัด และเงินสกุลดอลลาร์ สรอ. มีแนวโน้มอ่อนค่า สนับสนุนการผ่อนคลายทางการเงินของ Fed ต่อไป

3.การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่สำคัญ

ทรัมป์ มีนโยบายผ่อนคลายด้านกฎระเบียบต่างๆ บน ภาคพลังงาน เช่น การยกเลิกข้อจำกัดและอุปสรรคในการพัฒนาน้ำมันและก๊าซ การเพิ่มการส่งออก LNG และ การยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบนภาคการเงิน โดยเน้นเร่งผ่อนคลายในส่วนที่เกี่ยวกับ consumer finance และทยอยผ่อนคลายหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับด้านฐานทุนและสภาพคล่องของธนาคาร ซึ่งเรามองว่า ภายใต้การนำของทรัมป์ จะส่งผลให้ภาพรวมด้านกฎระเบียบในสหรัฐฯ ผ่อนคลายลง และอาจช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้บางส่วน ขณะที่แฮร์ริส ยังคงคุมเข้มด้านกฎระเบียบ เช่น เน้นขยายการลงทุนบนพลังงานสะอาด มีแนวโน้มที่จะกำกับดูแลภาคธนาคารผ่าน Basel 3 และ เน้นควบคุมการผูกขาดในกลุ่ม Tech กับ AI 

นัยของนโยบายต่อการลงทุน เรามองว่า หากทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเป็น Republican Sweep จะส่งผลให้ Yield Curve ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มความชันขึ้น แบบ Bear Steepener (Yield ระยะยาวปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าระยะสั้น) จากการใช้จ่ายการคลังที่มากขึ้น และจากคาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ระยะสั้น มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นโลก จากแผนการลดภาษีเงินได้ รวมทั้ง การผ่อนคลายกฎระเบียบ อย่างไรก็ตาม ต้องระวังในระยะกลาง-ยาว บนประเด็นขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น ที่จะกระทบ valuation ผ่าน UST yield ตัวยาว ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้ง ความเสี่ยงที่ประเทศคู่ค้าจะตอบโต้กลับทางการค้าสหรัฐฯ

ขณะที่ หากแฮร์ริส เป็นประธานาธิบดี และเป็น Democrat sweep เรามองว่า Yield Curve ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มชันขึ้น แต่จะน้อยกว่าในกรณีทรัมป์ ขณะที่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มถูกกดดันจาก แผนขึ้นภาษีการซื้อหุ้นคืน และแผนขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่จะกดดัน EPS ด้าน valuation ของตลาดฯ ที่จะถูกกดดัน จาก UST yield ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ผลลบต่อตลาดฯ อาจถูกลดทอนลง จากการต่ออายุการลดภาษีเงินได้บุคคลกับผู้มีเงินได้ต่ำ การเพิ่ม child tax credit และการสนับสนุนผู้ซื้อบ้านครั้งแรก ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริโภค และช่วยลดความเสี่ยงขาลงของ EPS อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากได้ทั้งสองสภา (Divided Congress) การผ่านกฎหมายและนโยบายต่างๆ มีแนวโน้มเกิดขึ้นยาก ทำให้การขาดดุลงบประมาณอาจน้อยกว่ากรณี Sweep US Yield Curve อาจปรับเพิ่มความชันได้ไม่มากนัก และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มตอบรับในเชิงบวกในกรณีที่เป็น Democrat Divided มากกว่ากรณี Republican Divided