ข้ออ้างสร้าง “ความเจ็บปวด” | วรากรณ์ สามโกเศศ

ข้ออ้างสร้าง “ความเจ็บปวด” | วรากรณ์ สามโกเศศ

 ถ้าท่านเคยเจ็บปวด เพราะถูกกระทำไม่ว่าด้วยคำพูดห รือการกระทำจากคนอื่น และหวังว่าวันหนึ่งเขาจะสำนึกผิดเเละเเก้ไขนั้น    นักจิตวิทยาบอกว่าจงทำใจเสีย เพราะมันเกิดขึ้นได้ยากเพราะผู้กระทำมักอยู่ในห้วงความคิดที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้

     การเข้าใจสิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นจากการเข้าใจชีวิต   อีกทั้งอาจรู้สึกต้องการเเก้ไขตนเองด้วยหากเราเป็นผู้กระทำเสียเอง

ข้อหนึ่ง  โลกมันเป็นอย่างนี้แหละ    วิธีคิดแบบนี้คือที่ฝรั่งเรียกว่าโลก  dog-eat-dog (โลกแห่งการต่อสู้ฆ่าฟันกัน)   “ฉันต้องทำร้ายเธอเพราะโลกมันบังคับให้ทำเพื่อความอยู่รอด”    การโทษคนอื่นว่าใคร ๆ เขาก็ทำกันเช่นนี้เป็นข้ออ้างกับตนเองที่ง่ายที่สุด

ข้อสอง  ขนาดคน ๆ นี้เขายังทำเลย     คิดโดยอ้างคนสำคัญว่าขนาดนั้นเขายังทำสิ่งเลวร้ายนี้เลยดังนั้นตัวฉันเองจึงทำได้    ขนาดองคุลิมาลผู้เป็นอรหันต์ยังเคยฆ่าคนเป็นร้อย ๆ มาแล้ว     นักการเมืองยอดนิยม (ของคนบางกลุ่ม) ก็เป็นจอมคอร์รัปชัน    ดังนั้น ฉันก็ทำได้    การอ้างในใจเพื่อสร้างความชอบธรรมเป็นวิธีคิดที่มนุษย์ชอบมาก  

ข้อสาม  เป้าหมายสำคัญกว่าวิธีการ   นี่เป็นคำชอบอ้างของคนที่คิดว่าตนเองเหนือกว่า        คนอื่น     รู้ดีกว่าคนอื่น  และอาจมีคนเหนือโลกช่วยเหลืออยู่ให้ทำความชั่วร้ายต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อกำจัดสิ่งเลวร้ายเพื่อบรรลุสิ่งที่ดีกว่า    ฮิตเลอร์ก็คิดอย่างนี้    เช่นเดียวกับการถูกไล่ออกจากบริษัทอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาบริษัทไว้ตามคำอ้าง

ข้อสี่  สิ่งแวดล้อมมันเลวร้าย   ที่ทำงานเต็มไปด้วยวัฒนธรรม “แทงกันข้างหลัง”  และเคร่งเครียด   ฉันจึงต้องทำร้ายเธอ     สิ่งแวดล้อมที่ชั่วร้ายเช่นนี้เป็นใคร ๆ ก็ต้องทำทั้งนั้น    อย่าโกรธฉันเลยที่ฉันโกงและฉ้อฉลก็เพราะสิ่งแวดล้อมมันบังคับให้เป็นเช่นนั้น

        ข้อห้า  สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต    การเติบโตตอนเด็กที่ไม่สมบูณ์  ประสบการณ์เลวร้ายที่ประสบมาหรือความสัมพันธ์ในอดีตอันเลวร้ายที่พบมา  ทั้งหมดสร้างความชอกช้ำ   ทำให้ผมทำร้ายคุณ    มันช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นทาสของอดีตทั้งนั้น   ข้ออ้างเช่นนี้ลืมนึกไปว่าคนอื่น ๆ ที่มีประสบการณ์ที่เลวร้ายเหมือนกัน   เขาก็ไม่ได้ทำร้ายคนอื่นเยี่ยงคุณ

             ข้อหก   ตั้งใจดีแต่เป็นผลร้าย    การอ้างว่าตั้งใจดีแต่แรก  มิได้มุ่งทำร้ายเพียงแต่เหตุการณ์มันเป็นไปจึงช่วยไม่ได้  การคิดเช่นนี้เน้นแต่ตอนแรกโดยไม่มองผลตอนจบ    

ตัวอย่างเช่นพกอาวุธไปในงานเลี้ยง   เมื่อเมาแล้วทำร้ายผู้อื่น    เมื่อถูกจับก็มองแต่ตอนพกอาวุธเพื่อป้องกันตนเองและเพื่อนโดยไม่ได้ดูผลที่ตามมา

ข้อเจ็ด  อ่อนไหวเกินไปไหม   ฉันอาจพูดอะไรที่ไม่ถูกใจคุณ แต่ก็ไม่ควรโกรธแค้นมากมายเพราะคุณอ่อนไหวเกินไป  สำหรับคนพวกนี้ความผิดทั้งหมดตกอยู่ที่คนอื่นมิใช่ตนเองเสมอ    ยิงปืนขึ้นฟ้าและกระสุนตกลงมาทะลุศีรษะคนอื่นก็เป็นความโชคร้ายของคนตาย   หากคนตายมิได้ยืนอยู่ตรงนั้นหรืออยู่ในบ้านมีหลังคาก็ไม่ตาย

          ข้อแปด   คุณบังคับให้ผมทำ    ข้ออ้างนี้อยู่ในวิธีคิดที่ว่า “หากมีอะไรเกิดขึ้นก็จงโทษคนอื่นไว้ก่อน” อย่างน่าเกลียด    เขาโน้มน้าวใจตนเองให้เชื่อว่าคุณเป็นคนเลวร้ายจนต้องทดแทนด้วยความเลวร้ายเช่นกัน    

อีกกรณีหนึ่งก็คือการคิดหรือพูดอย่างเกินความจริงให้คนอื่นฟังว่า คุณเป็นคนไม่ดีอย่างไร เพื่อลดความรู้สึกผิดหรือเพื่อทำให้เขาดูต้องรับความรับผิดชอบน้อยลง

ข้อเก้า  เราเข้ากันไม่ได้เลย    การโทษการกระทำที่ไม่ดีของตนเองว่าเป็นผลจากการเข้ากันไม่ได้กับคนอื่นโดยเฉพาะคู่รักนั้น  คล้ายกับการไปทำงานอย่างล่อนจ้อนโดยอ้างว่าเพราะเสื้อผ้ามันคับ  

มันเป็นไปได้ที่เข้ากันไม่ได้แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายกันด้วยคำพูดที่เจ็บปวดหรือการทุบตี  มนุษย์มีทางเลือกเสมอ   การเลิกกัน หรือหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงเป็นวิธีหนึ่งที่คนมีวัฒนธรรมเขาทำกัน

                 ข้อสิบ  มันมิได้เกิดขึ้น    บางคนอ้างว่าจำอะไรไม่ได้เลยกับสิ่งเลวร้ายที่กระทำไปเพราะจำไม่ได้มันเบลอ    เราเถียงกันอย่างหนักมีทุบตีกันจริงแต่จำอะไรไม่ได้   รู้ตัวอีกทีก็ตอนตำรวจมาที่บ้าน    

ข้ออ้างเช่นนี้เป็นไปได้ทางจิตวิทยา และถูกอ้างอยู่บ่อย ๆ ของผู้กระทำผิดเเต่ก็ไม่ทำให้ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริงนั้นหายไป

ทั้ง 10 ข้ออ้างในใจร่วมกันชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ผู้กระทำผิดพยายามทำให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงโดยการใช้เหตุใช้ผลอย่างเข้าข้างตนเองเสมอ    

ดังนั้น การคาดหวังว่าวันหนึ่งเขาจะสำนึกในความผิดจากการใช้คำพูดด่าว่าหยาบคาย  พูดใส่ร้ายลับหลัง  คดโกง หักหลัง กระทำอย่างไม่เป็นธรรม  ทุบตี ละเมิดทางเพศ ฯลฯ และแก้ไขนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก  

การได้รับคำขอโทษจากใจจริงนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ยากจนไม่สมควรแก่การรอคอย

หากคนเหล่านี้จะกระทำสิ่งที่ยากนี้ได้ก็ต้องเป็นคนมีวุฒิภาวะ    มีความมั่นใจในตนเอง    เป็นคนเห็นความสำคัญของตนเอง   และตระหนักได้ด้วยตนเองจนถึงกับยอมรับว่าสิ่งที่ทำไปนั้นมันผิด    สมควรแก่การขอโทษและแก้ไข  

 แต่หากเป็นคนที่ไม่มั่นใจในคุณค่าของตนเองแล้ว    การยอมรับว่ากระทำผิดทำให้เขาสูญเสียภาพลักษณ์ของตนเองและความเป็นตัวตนของเขาลงดังนั้น     การสำนึกผิดจึงยากที่จะเกิดขึ้น

เมื่อไม่สามารถคาดหวังกับการสำนึกผิดจากเขาได้เเล้ว สิ่งที่จะทำให้เราสบายใจและมีความสุข และก้าวเดินต่อไปก็คือการยกโทษ (forgiveness) ให้เขา     การยกโทษมิได้หมายความถึงการกลับไปมีความสัมพันธ์กันเช่นเดิม (reconciliation)

 การยกโทษหมายถึงการปลดปล่อยความคับแค้นไม่พอใจ (resentment) ซึ่งจะทำให้จิตใจของเราสบายขึ้น    ในสถานการณ์ที่ยากจะเห็นคนทำผิดยอมรับความผิดเช่นนี้  การกระทำของตนเองซึ่งไม่ต้องขึ้นอยู่กับการกระทำของคนอื่น  น่าจะฉลาดกว่า

การยกโทษให้เป็นสิ่งที่อยู่ในใจโดยไม่ต้องแสดงออกด้วยการบอกกล่าวใครแม้แต่ผู้กระทำผิด    มันเป็นเรื่องภายในจิตใจของเราเองที่การปลดปล่อยทำให้ความรู้สึกที่กดดันอยู่นั้นหายไป   

 การเข้าใจ 10 ข้ออ้างนี้อาจทำให้ตัวเราเองซึ่งได้ทำร้ายผู้อื่นอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจด้วยคำพูดและการกระทำเกิดความตระหนักและสำนึกผิดก็เป็นได้ และถ้าทุกคนอยู่ในกรอบของความคิดนี้   สังคมของเราคงจะมีความสุขขึ้นอีกมาก

10 วิธีคิดหรือข้ออ้างเหล่านี้สามารถช่วยสร้างสังคมสันติสุขได้     มันมิได้มาจากพล็อตละครโทรทัศน์  หากอยู่ในข้อเขียนของ Dr.Bruce Y. Lee ชื่อ “10 Ways People Justify Doing Bad Things”         ในวารสาร Psychology Today, June 21, 2024.