เติมเต็มตนเองหลังรอดภัยพิบัติ

เติมเต็มตนเองหลังรอดภัยพิบัติ

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เป็นโอกาสที่ดียิ่งอีกครั้ง ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปในทางที่ดีขึ้น แผ่นดินไหวครั้งนี้บอกให้เราทราบว่า เราเข้มแข็งมากแค่ไหน

ใครที่ไม่เคยคิดว่าจะเดินขึ้นลงยี่สิบสามสิบชั้นได้ ก็พิสูจน์แล้วว่าเราทำได้ เติบโตกันมาในบ้านเมืองที่ไม่มีภัยแผ่นดินไหวรุนแรง ไม่เคยได้รับการฝึกฝนให้รับมือภัยนี้

เหมือนกับผู้คนในบ้านเมืองที่มีทั้งข้อมูลและการตระเตรียมอย่างเป็นระบบ แต่หลายคนก็รับมือภัยนี้ได้ดีไม่ต่างไปจากผู้คนในบ้านเมืองเหล่านั้น แม้ว่าเมื่อเหตุการณ์วิกฤติผ่านพ้นไปแล้ว

อาการตื่นตระหนกตกค้างจะมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปกว่าที่ควรจะเป็น

ดังนั้น สมควรที่เราจะใช้โอกาสนี้ เติมเต็มตัวเราให้สามารถเปลี่ยนความกลัว สู่ความพร้อม เติมเต็มให้เราและครอบครัวเตรียมพร้อมวันนี้

เพื่อพรุ่งนี้ที่ปลอดภัย  เติมเต็มให้เรารู้  เพื่อให้เรารอด เติมเต็มให้เราพร้อม เพื่อให้เราปลอดภัย ในยามที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว

ถ้าวันนี้ยังจำความกลัวที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้ ให้มองใหม่ว่าภัยพิบัติคือความไม่แน่นอน แล้วใช้ความกลัวที่เคยมี หรือที่ยังมีอยู่เป็นเครื่องเตือนใจให้เตรียมพร้อม เปลี่ยนจากความกลัวที่ทำอะไรไม่ถูก มาเป็นยิ่งกลัว

ยิ่งหาความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเตรียมพร้อมรับมือสารพัดความไม่แน่นอนนั้น ถ้ารู้จักกับภัยที่เกิดขึ้นน้อย มโนไปในทางร้ายจะมีมากกว่าที่จะเกิดขึ้นจริง  อย่าปล่อยความกลัวกลายเป็นวิตกจริตที่สร้างแต่ความกังวล จนไม่พยายามหาความรู้ใหม่ ๆเพื่อให้รู้เรื่องภัยนั้นมากขึ้น 

คิดใหม่ว่า เพราะเรากลัว เราจึงต้องหาความรู้ในเรื่องที่กลัวนั้นให้มากที่สุด รู้เรื่องนั้นมาก จะกลัวเรื่องนั้นน้อยลง

อย่ามัวแต่คิดว่า ทำไมเรื่องแย่ ๆนี้จึงต้องเกิดขึ้นกับตัวเรา อย่าน้อยใจในโชคชะตา แต่คิดใหม่ว่า ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะทำได้ดีกว่าครั้งนี้ได้อย่างไร ถ้าครั้งนี้อะไรเสียหายจากภัยที่เกิดขึ้น

ถามตนเองว่าถ้าครั้งหน้าจะไม่เสียหายแบบนี้ วันนี้ต้องตระเตรียมอะไรบ้าง ถ้าวันนี้ตระเตรียมไว้ให้รู้แล้วว่าอาคารของเราทนแรงเขย่าจากแผ่นดินไหวได้มากแค่ไหน วันหน้า

ถ้าเจอว่าแรงเขย่าแค่นี้ยังน้อยกว่าที่เราเคยรอดมาได้ เราก็อยู่อย่างมั่นใจในความมั่นคงของอาคาร ยิ่งมั่นใจในการเตรียมพร้อมสรรพสิ่งรอบตัวไว้มากแค่ไหน วันหน้าเราก็เผชิญกับภัยได้ด้วยความสงบมากขึ้นเท่านั้น

ถ้ามั่นใจว่าเรือเราแข็งแรง เราก็เผชิญหน้าพายุได้อย่างไม่ตกอกตกใจเกินเหตุ  เจอภัยอย่างมีสติ โอกาสรอดภัยมีมากกว่าไร้สติแน่ ๆ

ทำให้การเผชิญหน้ากับภัยครั้งก่อน กลายเป็นบทเรียน มากกว่าที่จะเป็นความทรงจำในเรื่องน่าหวาดกลัว ทบทวนว่าอะไรบ้างที่ทำได้ดีในวันนั้น อะไรบ้างที่ยังบกพร่องอยู่ 

แลกเปลี่ยนประสบการณ์การผ่านพ้นเหตุการณ์กับคนอื่น เพื่อหาแนวทางที่ดีกว่าที่เราได้กระทำไป จดจำแนวทางเหล่านั้นไว้ใช้ในวันหน้า ดูว่าเขาทำอย่างไรถึงได้ไปถึงที่ปลอดภัยได้เร็วกว่าเรา

ทำอย่างไรเขาจึงรับมือภัยได้โดยสงบ ตกอกตกใจน้อยกว่าเรา  เขาทำอย่างไรจึงมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นน้อยกว่าที่เราทำให้เกิดขึ้น ยิ่งได้รับรู้แนวทางการรับมือที่ได้ผลดีมากเท่าใด

และถ้าโชคไม่ดีต้องพบเจอภัยแบบเดียวกันอีก ครั้งหน้าเราจะมีสารพัดหนทางในการรับมือมากกว่าที่เคยมีในครั้งนี้ เรามีทางเลือกที่ดีมากยิ่งขึ้นจากบทเรียนที่รวบรวมมาได้จากผู้อื่น  

จากเดิมที่คิดว่า เตรียมพร้อมไว้ดีแล้ว ต้องไม่มีปัญหาใด ๆในยามที่พบวิกฤติ เปลี่ยนความคิดใหม่เป็น เตรียมพร้อมดีแล้ว ไม่ได้หมายถึงไม่มีปัญหา แต่หมายถึงเรารับมือกับมันได้ จะได้ไม่ตกอกตกใจเมื่อแนวทางที่เตรียมไว้ยังมีปัญหาเกิดขึ้น

ถ้าทำใจไว้แล้วว่า การรับมือกับวิกฤติ อย่าคิดว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ เจอแล้วจะบอบช้ำอะไรบ้าง ก็ไม่ท้อใจ ไม่ตกใจ มีอะไรก็ใช้สติปัญญาแก้ไขกันไป แทนที่จะมัวแต่กังวลใจว่าที่ตระเตรียมไว้ จะมีอะไรใช้ไม่ได้ผลอีกบ้าง 

ภัยพิบัติอาจเป็นโชคร้ายที่ต้องพบเจอ แต่เราก็รอดมาได้ ภัยพิบัติที่ผ่านพ้นไปจึงเป็นเสมือนหลักฐานยืนยันว่า หากเรามีสติ หากเรามีแผน เราจะรอดเสมอในทุกวิกฤติ.