เตรียมรับความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ในการยกระดับแก้ปัญหามลพิษฝุ่นควันไทย

เตรียมรับความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ในการยกระดับแก้ปัญหามลพิษฝุ่นควันไทย

การแก้มลพิษฝุ่นควันในไทย ไม่ใช่แค่การระงับการปล่อย แต่ต้องมีการยกระดับมาตรฐานการผลิตและวิถีสังคม ให้ปรับตัวมาสู่วิถีแบบใหม่ที่สะอาดขึ้น

KEY

POINTS

  • พ.ร.บ.อากาศสะอาดใกล้จะบังคับใช้แล้ว ซึ่งจะเน้นการแก้ปัญหาฝุ่นควันในไทยที่ต้นทาง เช่น ภาคการเกษตรต้องยกระดับการผลิตอ้อยน้ำตาล (ไม่เผา) ภาคอุตสาหกรรมเองต้องลงทุนในสายการผลิต ภาคคมนาคมต้องมีมาตรการควบคุมไอเสียเครื่องยนต์ แก้มล

พ.ร.บ.อากาศสะอาดใกล้จะคลอดแล้ว แม้จะไม่ทันใช้งานในฤดูฝุ่นนี้ แต่อย่างไรก็จะมีสภาพบังคับใช้ภายในปีนี้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นกฎหมายบังคับให้มีแผนแม่บทแก้ปัญหาสาเหตุแหล่งกำเนิด 6 ด้าน คือ เกษตรกรรม / อุตสาหกรรม / คมนาคม / ป่าไม้ / ภาคเมือง / ฝุ่นข้ามแดน ลงลึกรายละเอียดการแก้ปัญหาที่ต้นทาง

มลพิษฝุ่นควันเป็นผลผลิตของสังคม หากการเกษตรกรรมยังเป็นแบบดั้งเดิมใช้ไฟมาก (รวมทั้งปุ๋ยเคมีที่วิทยาศาสตร์บางแขนงชี้ว่าเป็นต้นทางปฐมภูมิของ pm2.5 เช่นกัน) มลพิษฝุ่นก็มากตาม การแก้ต้องยกระดับการผลิตอ้อยน้ำตาลต้องปรับปรุงใหม่ ตั้งแต่การปลูกไปจนถึงขั้นตอนผลิตในโรงงาน นาข้าวก็เช่นกันที่ต้องเปลี่ยนวิธีการที่ไม่เผา  

เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรม มาตรฐานการผลิตแบบเดิมหากยังไม่สูงมากพอก็จะถูกบังคับให้ยกระดับขึ้น แปลว่า ต้องลงทุนในสายการผลิต และก็เช่นเดียวกับภาคคมนาคม ที่อาจต้องยกระดับสายพานการผลิต มาตรการปล่อยไอเสียเครื่องยนต์ และมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิง ประชาชนทั่วไปผู้ใช้งานทั้งรถ ทั้งเรือ อาจต้องมีค่าใช้จ่ายปรับปรุงการปล่อยไอเสียไม่ให้เกิดควันดำเกินมาตรฐานใหม่

การถูกบังคับให้เปลี่ยนโครงสร้างการผลิต ยังหมายรวมไปถึงแหล่งกำเนิดฝุ่นข้ามแดน นั่นก็คืออุตสาหกรรมการเกษตรทั้งหลายที่นำเข้าวัตถุดิบจากการเผา ต้องเปลี่ยนวิธีผลิตและวิธีรับซื้อสินค้าใหม่

ไม่เว้นกระทั่งมลพิษภาคป่าที่ต้องอาศัยการบริหารจัดการเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรม วิถีการเผาแบบเดิม และการบริหารจัดการเพื่อป้องกันและดับไฟในป่า ซึ่งที่แท้ก็ต้องยกระดับมาตรฐานโครงสร้างการทำงานของหน่วยงาน และวิธีการกินอยู่ใช้ประโยชน์จากป่าแบบเดิมอยู่ดี 

โจทย์ใหญ่แก้ปัญหามลพิษฝุ่น คือความขัดแย้งด้านผลประโยชน์

การแก้มลพิษฝุ่นควัน จึงไม่ใช่แค่การระงับการปล่อย หรือแค่ไปอุดปากท่อมลพิษ หากแต่เป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตและวิถีสังคม จากแบบเดิม(ที่ปล่อย) มาสู่แบบใหม่ที่สะอาดขึ้น โดยที่กิจกรรมดังกล่าวนั้นยังคงให้ประโยชน์ได้ต่อไป

โจทย์ดูเหมือนง่ายก็คือ ทำอย่างไรที่เปลี่ยนแล้ว ชาวนาก็ยังทำนาเลี้ยงชีพได้ ชาวไร่อ้อยและอุตสาหกรรมอ้อยน้ำตาลยังเดินหน้า คนที่เผาป่าเพื่อหาของป่ายังดำรงชีวิตได้ อุตสาหกรรมรถยนต์และพลังงานยังรุ่งเรืองเป็นแกนหลักเศรษฐกิจได้ต่อไป ฯลฯ ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่ได้ง่ายเลย 

เพราะการไปบังคับให้เปลี่ยน หรือให้ลด วิถีผลิตและกิจกรรมแบบเดิม นั้นเป็นต้นทุน เป็นความยุ่งยาก ไปจนกระทั่งเสียประโยชน์ที่เคยได้รับมาก่อน รวมไปถึงเป็นมูลค่าเสียหายทางเศรษฐกิจด้วย เช่น ชาวนาชาวไร่อ้อยมีต้นทุนมากขึ้นทำให้ราคาข้าวและอ้อยแพงขึ้น สายพานการผลิตรถยนต์ หรือน้ำมันคุณภาพสูงก็เช่นกัน 

โจทย์การแก้ปัญหานี้ มีอุปสรรคสำคัญคือความขัดแย้งกันของผลประโยชน์ Conflict of interest ระหว่าง ผู้ต้องการอากาศสะอาดขึ้น รัฐผู้ออกมาตรการ และ ผู้ปล่อยมลพิษกลุ่มต่างๆ 

ตัวอย่างรูปธรรมที่เกิดระหว่างฤดูฝุ่นควันปีนี้ เมื่อต้นฤดูเกิดมีการเผาภาคเกษตรมากในภาคกลาง-ภาคอีสาน พร้อมกับค่ามลพิษอากาศกรุงเทพฯ สูงมาก กระทรวงเกษตรฯ ประกาศลงโทษเกษตรกรที่เผาจะไม่ได้รับสิทธิช่วยเหลือ ต่อมามีกลุ่มตัวแทนชาวนาออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับมาตรการห้ามดังกล่าว ทำให้ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1 พันบาท และถูกตัดสิทธิโครงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรอีก 2 ปี 

รัฐต้องหนุนให้ชาวนา ชาวไร่อ้อย ผู้ขับขี่รถยนต์เก่า เจ้าของโรงงาน ให้เปลี่ยนสู่วิถีใหม่

ส่วนไร่อ้อยก็เช่นกัน มาตรการปิดโรงงานที่รับซื้ออ้อยเผาไฟทำให้ชาวไร่อ้อยเรียกร้องว่ามีต้นทุนสูงอยู่เดิมแล้ว การไม่ให้เผาหาแรงงานลำบาก และหากไม่มีการอุดหนุนจากรัฐจะทำไม่ได้ นอกจากนั้นยังเรียกร้องว่าแหล่งกำเนิดมลพิษ pm2.5 มาจากแหล่งอื่น 

สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทยออกเอกสารชี้แจงว่า เดิมเคยไหม้มาก 70% แต่ก็พยายามลดเหลือแค่ 30% การเผาของไทยสัดส่วนน้อยกว่าประเทศผลิตอ้อยอื่นๆ ขณะที่การเผาอ้อยในไทยเป็นส่วนน้อย แค่ราว 0.91% ของมลพิษทั้งหมด กล่าวโดยรวมคือไม่ใช่ตัวการหลักของวิกฤติฝุ่น

ความขัดแย้งในวิธีการแก้ปัญหาการเผาในป่าทางภาคเหนือ ก็เริ่มปรากฏเป็นกระแสไม่พอใจนโยบายห้ามเผาเด็ดขาดของรัฐบาลในปีนี้ ทำให้สัดส่วนการได้รับอนุญาตชิงเผาที่เคยมีก่อนหน้าถูกระงับไป 

มาตรการของรัฐที่ออกมาเพื่อลดมลพิษมีผลกระทบกับผู้ปล่อย เป็นปรากฏการณ์ความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์อย่างชัดเจน ทางออกของเรื่องนี้ไม่ใช่การดึงดันที่จะห้ามระงับ แต่ต้องอุดหนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงยกระดับอย่างยินยอมพร้อมใจ เพราะชาวนา ชาวไร่อ้อย ผู้ขับขี่รถยนต์เก่า เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม บรรษัทพลังงาน บรรษัทแปรรูปเกษตรส่งออก ฯลฯ ไม่ใช่ผู้ร้าย แต่จำเป็นต้องถูกบังคับให้เปลี่ยนเพื่อสิทธิในอากาศของคนส่วนใหญ่ และเพื่อการยกระดับมาตรฐานสังคมของประเทศไปสู่อีกขั้นหนึ่ง

ความขัดแย้งที่จะเกิด มีแน่นอนในทุกกลุ่มที่กฎหมายกำหนดให้ปรับเปลี่ยน มาตรการเชิงบวก มาตรการอุดหนุนเพื่อยกระดับ และการใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อยุติข้อถกเถียงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสัดส่วนของการปล่อยมลพิษ ใคร กลุ่มไหนควรรับผิดชอบแค่ไหนอย่างไร 

การสร้างกระบวนการบริหารข้อโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์ เป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ

ปีนี้เริ่มมีข้อถกเถียงเรื่องมาตรการที่รัฐห้ามเผาเด็ดขาด ทั้งเกษตร ทั้งป่าไม้ ซึ่งจะมีแปลงเกษตรแบบดั้งเดิมบนที่สูง ไร่หมุนเวียนที่ต้องใช้ไฟเตรียมแปลงจะเป็นประเด็นถกเถียงหาทางออกว่า จำให้เผาในระหว่างระยะห้ามเด็ดขาดได้หรือไม่ หากไม่ได้รัฐจะช่วยเหลือหรือหาทางออกอื่นอย่างไร สำหรับการเผาในป่า ในบางจังหวัดมีช่องให้ผู้ใช้ไฟในป่าขออนุญาตบริหารเชื้อเพลิง(ชิงเผา) ได้ ซึ่งก็มีทั้งหน่วยงานรัฐเองที่ต้องการชิงเผาพื้นที่เสี่ยง และชาวบ้านที่อ้างว่าต้องใช้ไฟในป่า แต่ในปีนี้ห้ามขาด 

นี่ก็จะเป็นประเด็นถกเถียงโต้แย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ไฟในป่า ผู้รับผลกระทบ และรัฐที่ออกมาตรการนโยบายในระยะต่อไปค่อนข้างแน่นอน

การขัดกันของผลประโยชน์ การไม่เห็นพ้องในมาตรการนโยบายรัฐ เป็นความขัดแย้งแน่นอน แต่เป็นความขัดแย้งที่จำเป็นต้องเกิดในระยะการเปลี่ยนผ่านยกระดับมาตรฐานสังคมใหม่ที่สะอาดขึ้นกว่าเดิม

ทางออกของเรื่องนี้คือการสร้างกระบวนการบริหารข้อโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์ เป้าหมายเพื่อแก้วิกฤติมลพิษอากาศฝุ่นละอองขนาดเล็กของชาติ ซึ่งเรื่องนี้ต้องไม่มีกลุ่มใดเป็นฝ่ายผิดหรือเป็นผู้ร้าย บางอย่างรัฐต้องอุดหนุนให้เปลี่ยน บางอย่างต้องให้แต่ละกลุ่มยอมถอยคนละก้าว ผู้รับผลกระทบก็ต้องถอยบ้าง เพื่อให้อีกกลุ่มสามารถปล่อยมลพิษออกมาได้บ้างในระหว่างการปรับเปลี่ยน  

กระบวนการนี้ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระแทก กระทบกันอยู่พอสมควร นี่คือสถานการณ์ต่อไปของวิกฤตมลพิษฝุ่นควันไทย เราได้ผ่านช่วงของการตระหนกตระหนักกระตุ้นให้เกิดการแก้ไขปัญหามาแล้ว...จากนี้ไปคือ แก้ปมที่ยุ่งยากในความขัดแย้งเชิงโครงสร้างนี้อย่างไร

 

 

..........................................

เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ