“John Lennon กับ การพักโทษ”

“John Lennon กับ การพักโทษ”

ใครไปนิวยอร์ก ควรหาเวลาไปชม Central Park สักครั้ง

จากที่พักบนถนน West 72nd ผมเดินเพียง 3 บล็อก ก็ข้ามถนนเข้าสู่ Central Park สิ่งแรกที่เห็นก็คือบรรยากาศร่มรื่น ผู้คนพักผ่อนอย่างมีความสุข และได้ยินเสียงเพลง “Imagine” ดังแว่วออกมา

เดินเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าว เห็นนักท่องเที่ยวถ่ายภาพ คู่กับ พื้นกระเบื้องโมเสกทรงกลม ตรงกลางมีคำว่า Imagine” ยิ่งทำให้ผมนึกถึง John Lennon เพิ่มขึ้น

พอหันหลังกลับ มองย้อนเข้าไปในเมือง เห็นอาคารสง่างามติดกับสวนสาธารณะ  ซึ่งคงเป็นอะพาร์ตเมนต์ชั้นดี เพราะอยู่ริมสวนและวิวสวยขนาดนี้

นาทีนั้น ผมนึกย้อนหลังทันทีว่า เมื่อวันที่ John Lennon ถูกลอบยิงเสียชีวิต เขากำลังเดินเข้าอะพาร์ตเมนต์ข้างๆ Central Park เอ!…หรือว่าตอนนี้

ผมกำลังเดินอยู่แถวอะพาร์ตเมนต์แห่งนั้น?

พอเช็คอินเตอร์เน็ต ก็ได้คำตอบทันทีว่าอะพาร์ตเมนต์ที่ผมเห็นใกล้ๆ เป็นที่อยู่ของเขาจริงๆด้วย และจุดที่ฆาตกรยิงจอห์น เลนนอน จนเสียชีวิตต่อหน้าภรรยา โยโกะ โอโน ก็คือตรงทางเข้าอะพาร์ตเมนต์ ที่ผมเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อตอนข้ามถนนนี่เอง

“The Dakota” เป็นอะพาร์ตเมนต์ชั้นดี ที่พำนักของดาราและผู้มีชื่อเสียง แต่ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะอยู่ได้ เพราะ Madonna และ Cher เคยอยากมาอยู่ที่นี่ แต่คณะกรรมการนิติบุคคลปฏิเสธ

การจากไปของ จอห์น เลนน่อน ในวัยเพียง 40 ปี เป็นการสูญเสียศิลปินระดับโลก และหลังจากนั้นไม่นาน พื้นที่ส่วนหนึ่งของเซ็นทรัลพาร์ค ตรงข้ามกับอะพาร์ตเมนต์ของเขา

ก็ได้รับการปรับปรุงให้เป็น  อนุสรณ์สถาน ซึ่งก็คือพื้นที่ตรงที่ผมยืนอยู่นี่แหละ มีชื่อเรียกว่า Strawberry Fields”

ถ้าคุณมีโอกาสผ่านไปแถวถนน West 72nd อย่าลืมเดินไปชมนะครับ อะพาร์ตเมนต์ Dakota คืออาคารซ้ายมือสุดของคุณ ก่อนจะเดินข้ามถนนเข้าสู่เซ็นทรัลพาร์ค

การพัฒนาพื้นที่สวนให้เป็นอนุสรณ์สถานนั้น นครนิวยอร์กเป็นผู้ดำเนินการ

โดย โยโกะ โอโน สนับสนุนเงิน 1 ล้านเหรียญ และยังได้รับการสนับสนุนจาก 121 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการส่งเสริมสันติภาพ ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของเพลง Imagine 

เสียงเพลง Imagine ไม่เคยหายไปจากพื้นที่นี้ครับ วันนั้นผมได้ฟังศิลปินที่สลับกันมาร้องเพลง 3 คน และทุกคนต่างก็ร้องเพลง Imagine ถ้าหากดวงวิญญาณของเขายังคงอยู่แถวนี้ เขาจะได้ยินเพลงนี้ทุกวันๆละหลายๆครั้ง แม้จากไป 40 กว่าปีแล้ว แต่เพลงของเขายังเป็นอมตะ

ส่วน โยโกะ นั้น นับจากวันที่จอห์นเสียชีวิต เธอยังคงอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ตลอดมา เธอกล่าวว่า “เพราะว่าที่นี่ ยังมีสิ่งของต่างๆ ที่จอห์นเคยสัมผัส

แต่ล่าสุดเมื่อต้นปี 2566 โยโกะในวัย 90 ปี (นั่งรถเข็น) ได้ตัดสินใจย้ายออกจาอะพาร์ตเมนต์นี้ ไปพักอยู่ในฟาร์ม ที่เมืองเล็กๆทางเหนือของนิวยอร์ก ชื่อว่าเมือง Franklin ที่มีผู้คนพำนักอยู่ เพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นเอง

ส่วนคนที่ลั่นไกใส่จอห์น เลนนอน เขาทำไปเพราะเหตุใด Mark Chapman ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 25 ปี ตอบว่า เพราะ John Lennon มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก เขาก็เลยทำไป เพราะอยากมีชื่อเสียง เหตุผลของเขามีเพียงแค่นี้เองครับ!

ศาลตัดสินให้จำคุก “20 ปี ถึงตลอดชีวิต” และเมื่อปี 2000

เขาได้รับสิทธิเป็นครั้งแรกที่จะ ขอพักการลงโทษ (Parole) ซึ่งเขาก็ได้ขอใช้สิทธิดังกล่าว 

แต่คณะกรรมการพิจารณาพักโทษ ไม่อนุมัติ เพราะเห็นว่า มาร์ค แชพแมน ยังเป็นบุคคลอันตรายต่อสังคม และหลังจากนั้น ทุกๆ 2 ปีเขาก็ขอพักโทษตลอดมา นับจนถึงครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2565 เขาได้ขอพักโทษมาแล้วถึง 12 ครั้ง 

แต่คณะกรรมการไม่เคยอนุมัติเลยสักครั้ง และทุกครั้ง โยโกะ ก็ยื่นคัดค้านเช่นกัน เธอกล่าวว่า การลั่นไกฆ่าจอห์น เลนน่อน นั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่รับฟังได้ เขาฆ่าเพียงเพราะเห็นว่าจอห์นมีชื่อเสียง เธอจึงเป็นห่วงว่าถ้าปล่อยให้พักโทษออกมา คนต่อไปอาจจะเป็นเธอ หรือเป็นบุตรชายของเธอ หรือเป็นใครก็ได้

วันนี้ มาร์ค แชพแมน อายุ 69 ปี แล้ว เขายอมรับว่าเขาทำให้โลกสูญเสียบุคคลสำคัญ และไม่มีเหตุผลเพียงพอในการกระทำของเขาเลย ส่วนในอนาคต ก็ไม่มีใครรู้ว่า มาร์คจะได้รับการอนุมัติให้ พักโทษ หรือไม่ หรือว่าจะถูกจำคุกจนตลอดชีวิต

เมื่อพูดถึง การพักโทษ ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศในประเทศไทย ที่ร้อนแรงเมื่อ 5-6 เดือนที่ผ่านมา เพราะบังเอิญว่า ระเบียบเรื่องการพักโทษ ของเรา เพิ่งประกาศออกมาใช้ ในช่วงเวลา ที่บุคคลสำคัญมีโอกาสจะได้รับการพิจารณา จึงทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก

ทุกวันนี้ กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย กำลังถูกจับตาด้วยความเป็นห่วง และมีบุคคลสำคัญบางท่านในวงการ กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า บ้านเรานั้นกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องที่ซื้อได้

ก็อยู่ที่เราแต่ละคนว่าจะเชื่อเพียงใด แต่อย่างน้อยที่ผ่านมาก็มีกรณี “ถุงขนม เกิดขึ้น และร่ำลือกันว่าถุงขนมสมัยนี้ มีขนาดใหญ่มากขึ้นอีกด้วย จริงเท็จอย่างไร ไม่มีใครยืนยัน

แต่จะว่าไป วัฒนธรรมถุงขนม อาจเป็น Soft Power แบบไทยๆ ก็ได้นะครับ เพราะสังคมเรามีขนมอร่อยๆเยอะ และคนไทยนิยมเอาขนมไปฝากกัน

จนกระทั่งมีคนคิดได้ว่า ถ้าเอาขนมไปฝาก เมื่อทานไปสักพัก ผู้รับอาจจะเบื่อขนมนั้นได้ สู้เอา “ปัจจัย” ไปฝากเลยน่าจะดีกว่า เพราะอยากทานอะไรก็ซื้อได้ตามใจปรารถนา แล้วก็เริ่มทำกันมา จนติดเป็นนิสัย 

แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ บ้านเมืองเราจะอยู่ไม่ได้นะครับ

ถ้าอยากกินขนม ก็ควรตั้งหน้าตั้งตาทำงาน หาเงินบริสุทธิ์เอาไว้ซื้อขนมกิน ไม่ต้องรอให้ใครทำถุงขนมหล่น ให้เราเก็บไปกินหรอกครับ

แบบนั้น มันน่าอัปย_ เอ๊ย…น่าอับอายมากเลย