ประเทศไทยมีโอกาสเป็นประเทศรายได้สูงหรือไม่

ประเทศไทยมีโอกาสเป็นประเทศรายได้สูงหรือไม่

การที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศรายได้สูง จำเป็นต้องเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ส่งเสริมนวัตกรรม ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาการลงทุนในภาคเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมควบคู่ไปกับการพัฒนานโยบายเชิงรุกจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกและก้าวสู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนได้

หัวข้อบทความวันนี้เป็นหัวข้อที่ดิฉันสงสัยอยู่ในใจมานาน เพราะเราอยู่กลุ่มรายได้ปานกลางมานานมาก เดิมเมื่อดิฉันเป็นเด็ก ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ (Low Income) จนถึงทศวรรษ 1970 เราจึงถูกขยับมาเป็นกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income) โดยอยู่ใน กลุ่มล่างของรายได้ปานกลาง (Lower-Middle Income) เกือบ 40 ปี จนถึงปี 2010 และเราได้รับการปรับขึ้นเป็น กลุ่มบนของรายได้ปานกลาง (Upper-Middle Income) ในปี 2011 ซึ่งหลายคนดีใจว่า ใกล้จะไปกลุ่มรายได้สูงแล้ว

แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น 13 ปีผ่านไป ปีนี้ 2024 ไทยเราก็ยังอยู่ในกลุ่มบนของรายได้ปานกลางอยู่ รวมเวลาอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางกว่า 50 ปี และทำท่าว่าจะขึ้นไปอยู่กลุ่มรายได้สูงไม่ไหวด้วยซ้ำไป เพราะประชากรสูงวัยมีสัดส่วนสูงขึ้น

ดิฉันจึงถือโอกาสทดสอบปัญญาประดิษฐ์ ผ่าน CHAT GPT อีกครั้งหนึ่ง ว่า ไทยเราจะมีโอกาสได้เป็นประเทศรายได้สูงกับเขาบ้างไหม

คำตอบมีดังนี้ค่ะ (คัดมาทุกตัวอักษร)

“ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะก้าวไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูงได้ แต่จำเป็นต้องดำเนินนโยบายและการพัฒนาที่ครอบคลุมในหลายด้าน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ นี่คือข้อเสนอแนะและแนวทางที่ประเทศไทยควรพิจารณา:

1. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital Development)

• การศึกษาและทักษะ: ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับการศึกษาโดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) เพื่อให้แรงงานมีทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมอนาคต โดยเฉพาะการปรับปรุงคุณภาพของการศึกษาในทุกระดับ และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

• การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ: ส่งเสริมการฝึกอบรมแรงงานในด้านทักษะดิจิทัล เทคโนโลยีใหม่ๆ และความสามารถในการแก้ปัญหา เพื่อให้แรงงานสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน

2. การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation and Technology) 

• Thailand 4.0: ต้องเดินหน้าผลักดันนโยบาย Thailand 4.0 อย่างจริงจัง เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีชีวภาพ และพลังงานสะอาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ

• การวิจัยและพัฒนา (R&D): ประเทศไทยควรลงทุนในงานวิจัยและพัฒนามากขึ้น ทั้งในภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และหน่วยงานของรัฐ เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Development)

• โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ: การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคม เช่น รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือน้ำลึก และโครงข่ายถนน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าและลดต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุน

• โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเครือข่าย 5G จะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล

4. การปฏิรูประบบราชการและการลดความเหลื่อมล้ำ (Governance and Reducing Inequality)

• ปฏิรูประบบราชการ: ควรปรับปรุงระบบราชการให้มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและส่งเสริมการให้บริการสาธารณะที่รวดเร็วและทันสมัย เพื่อดึงดูดการลงทุนและเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ

• การลดความเหลื่อมล้ำ: การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องส่งเสริมโอกาสให้คนในชนบทหรือพื้นที่ด้อยพัฒนาเข้าถึงการศึกษา บริการสาธารณสุข และโอกาสทางเศรษฐกิจ

5. การพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน (Sustainable Economic Development)

• เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy): ประเทศไทยควรส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เช่น พลังงานหมุนเวียน การเกษตรอินทรีย์ และการผลิตที่ลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตในระยะยาว

• การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ: ควรเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการจัดการทรัพยากรน้ำ ป่าไม้ และการผลิตพลังงาน

6. การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment – FDI)

• การดึงดูดการลงทุน: การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน โดยลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น และส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจ สามารถทำได้ผ่านการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือการสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเชิงนวัตกรรม

• การเป็นศูนย์กลางทางการค้าและโลจิสติกส์: ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของประเทศไทย การพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าและโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

7. การปรับตัวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (Global Economic Trends)

• เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy): การเร่งผลักดันนโยบายและกฎหมายที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น e-Commerce, FinTech และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะสร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับธุรกิจไทยในตลาดโลก

• การรับมือกับความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์: ประเทศไทยต้องรักษาสมดุลระหว่างการมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ดีกับประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน สหรัฐ และญี่ปุ่น เพื่อคงเสถียรภาพทางการค้าและการลงทุน

สรุป:

การที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศรายได้สูง จำเป็นต้องเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ส่งเสริมนวัตกรรม ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาการลงทุนในภาคเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมควบคู่ไปกับการพัฒนานโยบายเชิงรุกจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกและก้าวสู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนได้”

คำตอบถูกใจดิฉันมากจนต้องนำมาแบ่งปันกับผู้อ่าน แม้จะรู้ว่า AI นำเอาสิ่งที่นักวิชาการเขียนไว้มาประมวล แต่ข้อดีคือไม่มีความลำเอียง วันนี้จึงอยากเน้นเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้นำเสนอไปในบทความ “ไปให้ถึงวันนั้น” และได้ค้นข้อมูลต่อ พบว่าธนาคารโลกได้จัดทำ Human Capital Index (HCI) ของประเทศไทยล่าสุดได้ 0.61 หมายความว่า เด็กที่เกิดในวันนี้ หากไม่ได้รับการศึกษาและการดูแลสุขภาพที่สมบูรณ์ จะมีศักยภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 39% เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก และเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับประเทศที่มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ มีคนใจดี ใจบุญ มากมาย 

โดยธนาคารโลกระบุว่า ไทยเรามี Skill Crisis คือมีวิกฤติทางด้านทักษะ ไม่ว่าจะเป็นการรู้หนังสือ (อ่านออกเขียนได้) ทักษะทางดิจิทัล และทักษะทางอารมณ์และสังคม ซึ่งมีการศึกษาโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พบว่าเด็กไทยเข้าไม่ถึงการศึกษาถึง 1 ใน 5 อยากให้ท่านที่สนใจหาอ่าน และช่วยกันสนับสนุนและผลักดัน เพราะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง 

เราก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ หากคนส่วนใหญ่ยังถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง