บทพิสูจน์ 'ประยุทธ์-ทักษิณ'
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีท่าทีและความเคลื่อนไหวสำคัญของสองผู้มีอิทธิพลต่อการเมืองไทยในยุคนี้
หนึ่ง คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศตัวรับการเสนอชื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็น “แคนดิเดตนายกฯอันดับ 1” โดยมี คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค เป็นแคนดิเดตนายกฯ ลำดับที่ 2
ขณะเดียวกันก็มีข่าวพรรครวมไทยสร้างชาติเตรียมเสนอให้ท่านลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับ 1 ของพรรคด้วย
สอง คือ ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นว่า มีแผนจะเดินทางกลับไทย เพื่อกลับมารับโทษในหลายๆ คดีที่ถูกศาลพิพากษาแล้ว พูดง่ายๆ คือ ยอมกลับมาติดคุก เพื่อจะได้จบเรื่องราววุ่นวายของเขาเสียที จะได้อยู่กับลูกๆ หลานๆ ในบั้นปลายชีวิต โดยไม่ต้องให้พรรคเพื่อไทยผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมให้ แม้จะยังยืนยันว่าเป็น “ราคาที่ตนต้องจ่าย” ทั้งๆ ที่ไม่ควรต้องจ่ายก็ตาม
แปลความง่ายๆ ก็คือ ไม่ได้มีความคิดว่าตนเองกระทำผิด แล้วต้องรับผิด
ท่าทีของผู้นำการเมืองทั้งสองคน อธิบายเจตนาของคนทั้งคู่ได้แบบนี้
กรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งคาดว่าสุดท้ายน่าจะตัดสินใจลงปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 ควบคู่ไปกับการเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อ :
1.แสดงความจริงจังทางการเมือง สู้เต็มที่ เทหมดหน้าตัก เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน โชว์ความพร้อมลุยการเมืองเกินร้อย
2.ล้างภาพตั้งเป้าจะเป็นแต่นายกฯเพียงตำแหน่งเดียว เพราะท่าทีใหม่นี้ คือพร้อมเป็น ส.ส.ด้วย (สวนทาง คุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ประกาศตรงๆ ว่าต้องการตำแหน่งนายกฯ เพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น)
3.กดดันแคนดิเดตนายกฯ ของบางพรรคที่จะไม่ลงปาร์ตี้ลิสต์แน่ๆ หรือยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่มีกระแสจากฝ่ายประชาธิปไตยเรียกร้องว่า นายกฯควรต้องเป็น ส.ส.
4.สร้างความเชื่อมั่นให้นักการเมืองที่ยังลังเล ให้ไหลเข้ารวมไทยสร้างชาติรอบสุดท้าย ก่อนสมัครรับเลือกตั้ง 3 เม.ย. เพราะงานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เอาจริง แถมมั่นใจ เนื่องจากถ้าไม่มั่นใจจะกล้าลง ส.ส.เลยหรือ...ประมาณนั้น
5.การส่งคุณพีระพันธุ์ ลงแคนดิเดต อันดับ 2 เพื่อเตรียมพร้อมเมื่อเป็นรัฐบาลครบ 2 ปี ถ้าแก้รัฐธรรมนูญตัดประเด็นจำกัดวาระนายกฯแค่ 8 ปีไม่สำเร็จ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งเก้าอี้ครบ 8 ปีในอีก 2 ปีข้างหน้า ก็ส่งไม้ต่อให้คุณพีระพันธุ์ การเป็นรัฐบาลของรวมไทยสร้างชาติก็จะไม่สะดุด ยกเว้นมีดีลแบ่งเก้าอี้นายกฯ “คนละครึ่ง” กับพรรคอื่น (โดยนัยคือส่งสัญญาณว่าหลังเลือกตั้ง รวมไทยสร้างชาติเป็นรัฐบาลแน่)
จะเห็นว่าทั้ง 5 เหตุผลมีแต่มุมดีๆ แต่สิ่งที่จะพิสูจน์ความจริงใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่ามีหัวจิตหัวใจเป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่
อยากทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชน ซึ่งต้องทำได้ทั้งในบทบาทฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) และฝ่ายนิติบัญญัติ (เป็นฝ่ายค้านในสภา) ได้จริงหรือเปล่า ต้องรอติดตามกันต่อไป
ถ้าสุดท้ายรับเป็นแค่ “แคนดิเดตนายกฯ” ตำแหน่งเดียวก็จบ แต่หากรับการเสนอชื่อเป็นปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 ด้วย แล้วพรรครวมไทยสร้างชาติไม่ประสบความสำเร็จในการพา พล.อ.ประยุทธ์ กลับทำเนียบรัฐบาลอีกหนึ่งสมัย แต่การลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ถึงอย่างไรก็ได้เป็น ส.ส.แน่ สุดท้ายท่านจะลาออกจาก ส.ส.หรือไม่ หากพลาดหวังไม่ได้เป็นนายกฯรอบ 3
ถ้าท่านลาออก ปิดฉากชีวิตการเมืองตัวเอง ก็แปลว่าการประกาศลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ของท่าน เป็นแค่กลยุทธ์ทางการเมือง หาได้เชื่อมั่นในประชาธิปไตยระบบตัวแทนอย่างแท้จริง (ก็สมควรแล้วที่จะต้องกลับบ้าน)
กรณีของคุณทักษิณ :
จริงๆ แล้วการพูดว่าจะกลับบ้าน กลับประเทศไทย คุณทักษิณพูดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยกลับจริง (กลับมาครั้งเดียวเมื่อ 28 ก.พ.2551 ในรัฐบาลคุณสมัคร สุนทรเวช พรรคพลังประชาชน ซึ่งก็คือพรรคของคุณทักษิณที่ชนะเลือกตั้งหลังการรัฐประหารปี 2549 แล้วก็สร้างเรื่องขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกประเทศ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เมื่อเห็นว่าการพิจารณาคดีไม่เข้าทาง ถูกเปิดโปงเรื่องทนายทำถุงขนม 2 ล้านตกที่ศาล)
ฉะนั้น การให้ข่าวว่าจะกลับบ้าน ซึ่งพูดมาตลอดหลายปี แต่ไม่เคยกลับจริง จึงเป็นเพียงกลยุทธ์หาเสียง สร้างคะแนนนิยม เพื่อให้พรรคของตนกลับมามีอำนาจ หรือปลุกมวลชนของตน คือ “คนเสื้อแดง” ออกหน้าไปต่อสู้กับอำนาจรัฐแทนตนเท่านั้น
แต่การประกาศว่าจะกลับบ้านมาติดคุก โดยไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรม เป็นการพูดครั้งแรก ตั้งแต่ออกนอกประเทศไปนานถึง 15 ปี ทว่าคนวงในทราบกันดีว่า เรื่องนี้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์บันได 3 ขั้นเพื่อกลับบ้าน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ใหญ่ และมีกลยุทธ์ย่อยอีก 4 กลยุทธ์ ดังนี้
บันไดขั้นที่ 1 ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์
บันไดขั้นที่ 2 ตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากพิเศษ เพื่ออ้างฉันทามติประชาชน
บันไดขั้นที่ 3 ดำเนินกรรมวิธีพาคุณทักษิณกลับบ้าน โดยไม่ต้องติดคุก หรือติดพอเป็นพิธี สั้นที่สุด
ย้อนกลับไปบันไดขั้นที่ 1 คือชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ มีกลยุทธ์ที่จะไปสู่เป้าหมาย 4 กลยุทธ์ คือ
1.ให้คุณอุ๊งอิ๊งค์ ลูกสาวคนเล็ก เปิดตัวเป็นผู้นำพรรคคนใหม่ เพื่อดึงมวลชนคนเสื้อแดง แฟนคลับคุณทักษิณให้กลับมาเชื่อมั่นและเลือกพรรคเพื่อไทยอย่างถล่มทลายอีกครั้ง หลังเสียคะแนนไปมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยประกาศแคมเปญ 250 บวก หรือ 252 เสียง
2.ลูกสาวตั้งครรภ์ใกล้คลอดในจังหวะเวลาพอเหมาะพอดีกับช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง สามารถเรียกคะแนนสงสารได้มาก และลูกสาวมีเหตุผลอธิบายกรณีไม่ต้องเป็นนายกฯตัวจริงหลังเลือกตั้ง เพราะลึกๆ แล้วคนวงในทราบกันอยู่ว่า มีการวางตัว คุณเศรษฐา ไว้เป็นนายกฯคนใหม่
3.ออกแคมเปญแลนด์สไลด์ 310 เสียง เพื่อไม่ต้องจับมือข้ามขั้ว หลังเสียคะแนนจากข่าว “ดีลลับ” จับมือลุงป้อม
4.คุณทักษิณประกาศกลับไทยก่อนเลือกตั้งมาติดคุก เพื่อเรียกคะแนนสงสาร เป็นหลักประกันแลนด์สไลด์ โดยวางจังหวะเวลาเอาไว้หลังยุบสภา และอาจกลับจริงก่อนเลือกตั้งไม่กี่วัน (เรื่องนี้ไม่มีใครทราบว่าจะถึงขั้นกลับจริงเลยหรือไม่ เพราะยังไม่ถึงกรอบเวลาที่วางไว้ เนื่องจากยิ่งกลับเร็ว ยิ่งติดคุกนาน)
แต่ล่าสุดจากคำสัมภาษณ์กับสำนักข่าวเกียวโด คุณทักษิณปรับแผนเป็นประกาศกลับหลังเลือกตั้ง อาจจะหยั่งกระแสก่อนว่าจุดติดหรือไม่
อย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่า การประกาศกลับบ้านของคุณทักษิณ เป็นเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง พูดเพื่อหาคะแนน แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมว่า การพูดในทำนองยอมกลับมาติดคุก เพิ่งจะเคยพูดครั้งนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรก จึงต้องรอดูว่าต้องการทำจริง เพื่อกลับมาอยู่กับลูกๆ หลานๆ (มีหลานคนที่ 7 แล้ว) หรือพูดแค่หาเสียงตามแผนแลนด์สไลด์เท่านั้น
เพราะหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนบันไดสามขั้น ย่อมมีช่องทางอ้างความชอบธรรมที่จะทำให้คุณทักษิณกลับมาโดยไม่ต้องรับโทษเลย
แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยพลาดการจัดตั้งรัฐบาลอีก 1 สมัย คุณทักษิณก็ยังกลับไทยได้ เพียงแต่ต้องยอมติดคุกจริงๆ ตามที่ประกาศ และคงปิดประตูอย่างถาวรที่จะ “กลับบ้านแบบเท่ๆ” ตามที่เคยพูด (โม้) เอาไว้
นี่คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ทางการเมืองที่คนไทยควรจำได้แล้วว่า คุณทักษิณพูดไปเรื่อยเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตน หรือยอมรับในกระบวนการยุติธรรม และชะตากรรมทางการเมืองจริงๆ