'ทักษิณ' รัดบ่วง 112 'ปชน.' รุกประชานิยมรัฐบาล 'อิ๊งค์'
“อุดรฯ” ไม่เพียงเป็น “เมืองหลวงคนเสื้อแดง” หากแต่เป็นฐานเสียง ฐานการเมืองอันเหนียวแน่นของพรรคเพื่อไทย ที่สืบทอดมาตั้งแต่รัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” เปรียบเหมือนเวทีใหญ่ เหมาะอย่างยิ่งกับการประกาศเดินเกมการเมือง ส่งสัญญาณไปยังฐานเสียงอื่นทั่วประเทศ
อย่าง ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง เลือกโอกาสไปช่วยหาเสียงให้กับ นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายก อบจ.(องค์การบริหารส่วนจังหวัด) อุดรธานี จากพรรคเพื่อไทย ประกาศเดินเกมรุกทางการเมือง และทุกการสื่อสารเป็นความตั้งใจ มิใช่บังเอิญอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดกรณี พูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรมคดีม.112 ที่กล่าวว่า คดี 112 เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัตยาบันไว้ว่า เราจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เราจะไม่แตะเรื่อง 112 แต่จริงๆ แล้วปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ตนก็เป็นเหยื่อรายหนึ่งในการบังคับใช้กฎหมาย มาตรา 112 คนที่รับคดีครั้งแรกบอกว่าเดี๋ยวจะหาว่าไม่จงรักภักดี ฟ้องไปก่อน ทั้งที่หลักฐานไม่มี คนที่สองไม่ฟ้องเดี๋ยวโดนอีก ก็ฟ้อง ไม่ได้ดูความถูกต้องของพยานหลักฐาน จึงทำให้การจงรักภักดีและรักสถาบันไม่ถูกต้อง การจงรักภักดีที่ถูกต้องคือการรักษากฎหมายที่เป็นธรรม นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่ก็ไม่ง่ายในการแก้ซึ่งต้องใช้เวลา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในแต่ละเหตุการณ์มีบริบทเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ทั้งเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549, 2557 จนถึงพรรคการเมืองโดนยุบ เพราะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 “ทักษิณ” กล่าวว่า จริงๆ แล้วตนเคยคุยกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ว่าตนก็โดน 3 พรรค ต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ดังนั้นขอให้เราช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยหลักการ และเอาบ้านเมืองให้อยู่ได้มันจะดีที่สุด
อย่าไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบัน เราต้องจรรโลงอย่างเดียว ตนไม่ได้บอกว่า นายธนาธรหรือพรรคก้าวไกล ไม่จงรักภักดี แต่ต้องยึดหลักให้ถูกต้อง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ
เท่านั้นเอง “ธนาธร” กินปูนร้อนท้องขึ้นมาทันควัน เพราะสิ่งที่ “ทักษิณ” พูด ทำให้เห็นว่า ปัญหาแก้ไข ป.อาญา ม.112 คือ จุดพลิกผันในการจัดตั้งรัฐบาลระหว่าง ก้าวไกล กับ เพื่อไทย ซึ่งฝ่ายหนึ่งแสดง “จุดยืน” ไม่ยอมลดเพดานในการผลักดันเรื่องนี้ จึงเลือกที่จะพลิกขั้ว ไม่ใช่ “ตระบัดสัตย์” อย่างที่พรรคก้าวไกล หยิบยกขึ้นมาโจมตี
ทั้งนี้ “ธนาธร” โพสต์ข้อความตอบโต้คำให้สัมภาษณ์ของ “ทักษิณ” ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ว่าเหตุผลที่ก้าวไกลและเพื่อไทยไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 เลย
สิ่งที่คุณทักษิณกล่าว อาจทำให้คนทั่วเข้าใจไปได้ว่า ผมเคยคุยกับคุณทักษิณเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หรือมีความคิดรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่ได้พูดคุยตกลงอะไรกันเรื่องนี้เลย
การพูดคลุมเครือแบบที่คุณทักษิณกล่าวในวันนี้ ยังเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งต่อพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน เพื่อพยายามสร้างความเข้าใจในหมู่ประชาชนว่า เหตุที่ดีลร่วมรัฐบาลล่ม เป็นเพราะพรรคก้าวไกลไม่ยอมลดราวาศอกเรื่อง 112
112 ไม่ใช่เงื่อนไขการร่วมรัฐบาล
ไม่ใช่ว่าก้าวไกลเสนอให้การแก้ไข 112 เป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล และเมื่อถูกทักท้วงจากพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นแล้วก็ไม่ยอมถอย
112 ไม่เคยอยู่ในเงื่อนไขตั้งแต่แรกต่างหาก
ไม่มีอยู่ใน MoU ร่วมรัฐบาลที่เซ็นร่วมกันและเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ
คุณทักษิณรู้ดีที่สุด
ไม่ใช่แกนนำก้าวไกลมุทะลุ ไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีเหตุผลอื่นที่จะไม่ร่วมกัน แล้วใช้ 112 เป็นข้ออ้างต่างหาก
ในทางกลับกัน คุณทักษิณเอง น่าจะเป็นคนที่เข้าใจปัญหาโครงสร้างดีที่สุด แทนที่จะร่วมแก้ปัญหา กลับเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล เราไม่เคยโฆษณาหรือใช้เรื่อง 112 เป็นประเด็นหลักในการรณรงค์เพื่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง
เราตอบหรือพูดเรื่อง 112 อย่างซื่อตรงเมื่อถูกสื่อมวลชนหรือประชาชนถามเท่านั้น
ผมทราบดีว่า การแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่สั่งสมมาหลายสิบปีของประเทศไม่ใช่สิ่งที่ “ลัดขั้นตอน” ได้ แต่ต้องทำงานความคิดอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมเห็นชอบร่วมกัน และแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ไม่แก้ปัญหาโครงสร้าง ก็ปะผุประเทศไทยกันต่อไป ประเทศจะเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน มีแต่การให้คนในสังคมมีวุฒิภาวะพอ กล้ายอมรับปัญหา เผชิญหน้ากับมัน และค่อยๆ พูดคุยหาทางออกร่วมกัน”
ที่น่าย้อนให้เห็น ก็คือ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ที่ “ธนาธร” ออกมายอมรับว่า เคยพบ “ทักษิณ” ที่ฮ่องกง ก่อนการเลือกตั้ง 2566 จริง ซึ่ง การออกมายอมรับครั้งนี้ นัยว่า เพื่อ “ทอดสะพาน” ดีลร่วมรัฐบาล “ก้าวไกล-เพื่อไทย” อีกครั้ง หลังรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ทำท่าง่อนแง่นจากเกมการเมืองรุกเร้าหลายด้าน
และย้อนไปช่วง “ทักษิณ” มาฮ่องกง พักที่โรงแรมเพนนินซูล่า ฝั่งเกาลูน ระหว่าง 23-27 กรกฎาคม 2566 หน่วยงานความมั่นคงไทย ตรวจสอบได้ว่า เมื่อ 24 กรกฎาคม “ธนาธร” เดินทางไปพบ “ทักษิณ” จริง ก่อนเดินทางกลับไทยเมื่อ 25 กรกฎาคม
ว่ากันว่า “ธนาธร” เข้าพบ “ทักษิณ” โดยตรงได้ จากการดีลของ “หญิงเหล็ก” หลังม่านตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ที่อยู่เบื้องหลังเส้นทางการเมืองของตระกูลตั้งแต่ยุคไทยรักไทย ก่อร่างสร้างพรรค
บทสนทนาในวันนั้น สื่อบางสำนักรายงานอ้างว่า มีการหารือเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันระหว่าง “ก้าวไกล-เพื่อไทย” โดย “ก้าวไกล” ยอมถอยเรื่องแก้ไข มาตรา 112
แต่ “เพื่อไทย” ต้องสนับสนุนเรื่องร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทุกสีทุกฝ่าย ตั้งแต่ปี 2549-2566 ซึ่งหมายรวมถึง “นักโทษการเมือง” ระหว่างปี 2562 เป็นต้นมาด้วย
อย่างไรก็ดี ด้วยสถานการณ์ขณะนั้น “นายใหญ่” เซย์ “โน” พร้อมลงเรือลำเดียวกับพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยม “2 ลุง” จัดตั้ง “รัฐบาลข้ามขั้ว” อย่างที่หลายคนเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน(ข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา / 25 พ.ย.66)
แน่นอน, ดีลระหว่าง “ธนาธร” กับ “ทักษิณ” ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับ “สองคน” หากแต่ในวันนี้ดูเหมือน นับวัน “ดีล” จะหวนกลับมาได้ยากแล้ว แถมยังถูกตีตราเป็นคนละฝ่ายไปเรียบร้อย เว้นเสียแต่ “การเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร”
ที่สำคัญ “ทักษิณ” พูด ขณะที่ช่วยหาเสียงต่อสู้เลือกตั้ง ระหว่างผู้สมัครนายก อบจ. พรรคเพื่อไทย กับ ผู้สมัครของพรรคประชาชน(ปชน.) ก็ยิ่งเห็นเกมการเมืองที่แยบยล ในการรัดบ่วงที่ผูกคอพรรคประชาชนในสายตาของสังคมไทยอยู่แล้ว
นอกจากนี้ สิ่งที่ “ทักษิณ” พูดขณะช่วยผู้สมัคร นายก อบจ.อุดรฯหาเสียง ยังเต็มไปด้วย “ประชานิยม” ที่จะสร้างคะแนนนิยมให้กับรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง”น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
โดยเฉพาะ การปราศรัย ที่วัดศรีนคราราม ต.กุมภวาปี อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ที่กล่าวถึงนโยบาย “รัฐบาลแพทองธาร” ที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน
ประกอบด้วย นโยบายแจกเงินดิจิทัลฯ 10,000 เฟสสอง โดยจะแจกให้กับประชาชนอายุเกิน 60 ปี หลังเฟสแรกแจกให้กับกลุ่มเปราะบางไปแล้ว ซึ่งสร้างความนิยมให้กับ รัฐบาล “แพทองธาร” และพรรคเพื่อไทย อย่างได้ผล
และการที่ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลัง ออกมารับลูก ระบุว่า “อีกกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนไม่เยอะ และไม่ได้อยู่ในกลุ่มเปราะบาง แต่มีปัญหาสภาพคล่อง ดังนั้นเราจะคัดคนที่มีความจำเป็นเร่งด่วน”
นโยบายต่อมา คือ สลากออมทรัพย์เพื่อการเกษียณ หรือ หวยเกษียณ หลังกระทรวงการคลังแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ เสร็จ ตอนนี้ส่งเรื่องไปยัง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเรียบร้อย เหลือเพียงนำความเห็นและข้อเสนอแนะ หลังการประชุมคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (บอร์ด กอช.) ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ที่จะรวมไปเสนอที่ประชุมครม.ในเดือนพฤศจิกายน จากนั้นจะเป็นไปตามกระบวนการของสภาผู้แทนราษฎร โดยเบื้องต้นคาดว่า จะเริ่มจำหน่ายหวยเกษียณได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2568
โดย กอช. มีการปรับเกณฑ์หวยเกษียณโดยการขยายอายุผู้ซื้อจากเดิมจำกัดอายุไว้ที่ 16-60 ปี ปัจจุบันขยายโอกาสให้ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี สามารถซื้อหวยเกษียณได้ โดยไม่จำกัดอายุสูงสุด
สำหรับหวยเกษียณ เป็นอีกหนึ่งกลไกสร้างแรงจูงใจในการออม โดยรัฐช่วยใส่เงินสมทบในการออกรางวัล ไม่ว่าผู้ซื้อจะถูกรางวัล หรือไม่ถูกรางวัล เงินที่ซื้อสลากทุกบาท จะถูกเก็บไว้เป็นเงินออมสะสมในบัญชีกอช. และสามารถถอนออกมาใช้ได้เมื่ออายุ 60 ปี เพื่อการออมทรัพย์รองรับการเกษียณ แต่หากถูกรางวัลสามารถถอนรางวัลออกได้ทันที
นโยบายแก้หนี้ครัวเรือน เน้นช่วยเหลือ กลุ่มเปราะบาง ทั้งรายย่อย และเอสเอ็มอีรายเล็ก โดยจะพักชำระดอกเบี้ยยาว 3 ปี ปรับการผ่อนเงินต้นยาวขึ้น และเหลือครึ่งเดียว จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2568 เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน
นโยบายปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเคยเป็น “จุดเด่น” ของรัฐบาล “ทักษิณ” มาก่อน ก็ถูกประกาศสงครามกับพ่อค้ายาอีกครั้ง
อย่าลืมว่า เมื่อดูตัวเลขผู้ติดยาเสพติดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในภาคอีสาน และพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อครอบครัวและสังคมของผู้ติดยาเสพติดในปัจจุบัน ทำให้หลายคนหวนคิดถึงรัฐบาล “ทักษิณ” ขึ้นมาทันที เพราะครั้งนั้นแม้จะมีปัญหา “ฆ่าตัดตอน” จำนวนมาก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหายาเสพติดลดลงอย่างได้ผล เพียงแต่ครั้งนี้ต้องรอบคอบรัดกุมในการปราบปรามมากขึ้นเท่านั้นเอง
นโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ โอท็อป “ทักษิณ” ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์เอามาดู สงสัยต้องปรับปรุงครั้งใหญ่ หากโอท็อปได้รับการปรับปรุงเหมือนสมัยที่ตนอยู่ แต่เอาเรื่องสมัยใหม่เข้ามาไว้คงจะขายได้เยอะ อยากทำให้พี่น้องมีรายได้เพิ่มขึ้น
“ผมใช้เงินส่วนตัว300ล้านบาท จ้างชาวต่างชาติ ปรับปรุงโอท็อปครั้งใหญ่ อีกไม่นานเขาจะเปิดตัวว่า จะต้องรื้อไปทำอะไร และเพื่อปรับปรุงโอท็อปไปขายทั่วโลก แล้วจะมาเสนอนายกฯอิ๊งค์ โดยที่ไม่เก็บเงิน เพราะผมจ่ายเงินไปแล้ว”
ประเด็นก็คือ หมากเกมทางการเมือง ของ “ทักษิณ” ยังคงหาตัวจับยาก ต่อให้อยู่ในฐานะอะไรของการเมืองไทย ก็ยังสร้างผลสะเทือนทางการเมืองได้ ยิ่งเรื่อง “ประชานิยม” รัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” ได้ผู้ช่วยปลุกกระแสที่สุดยอดปรมาจารย์ก็ว่าได้ นี่แค่ปฐมบทที่อุดรธานีเท่านั้น