ถอดบทเรียนการสร้างสันติภาพจากเพื่อนบ้านอาเซียน | หน้าต่างความคิด

ถอดบทเรียนการสร้างสันติภาพจากเพื่อนบ้านอาเซียน | หน้าต่างความคิด

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานในสังคมไทย การค้นหาแนวทางสร้างความปรองดองนับเป็นโจทย์สำคัญของประเทศ

เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม ประเทศเพื่อนบ้านของเราในอาเซียนเองก็เคยผ่านความขัดแย้งรุนแรง และได้พัฒนากลไกเชิงสถาบันเพื่อสร้างความสมานฉันท์

หากมองไปยังบทเรียนจากประเทศเหล่านี้ อาจพบแนวทางอันเป็นประโยชน์ต่อการนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทสังคมไทย

บทความนี้เลือกถอดบทเรียนของประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียมาเป็นกรณีศึกษา

ประเทศฟิลิปปินส์ เลือกที่จะจัดตั้งสถาบันถาวรเพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่ซับซ้อนและยาวนาน

สำนักงานที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านสันติภาพ การปรองดอง และความเป็นเอกภาพ (Office of the Presidential Adviser on Peace, Reconciliation and Unity - OPAPRU) ก่อตั้งขึ้นในปี 2536 เพื่อรับมือกับความขัดแย้งหลายรูปแบบ ทั้งการก่อความไม่สงบโดยกลุ่มคอมมิวนิสต์และขบวนการแบ่งแยกดินแดนของชาวมุสลิมในมินดาเนา

OPAPRU มีบทบาทเป็นศูนย์กลางในการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มต่างๆ ที่ต่อสู้ด้วยอาวุธ การกำกับดูแลการดำเนินการตามข้อตกลงสันติภาพที่ลงนามแล้ว และการประสานงานโครงการปลดอาวุธ การสลายกองกำลัง และการคืนสู่สังคม (Disarmament, Demobilization, and Reintegration - DDR) สำหรับอดีตนักรบ 

ความสำเร็จที่สำคัญของ OPAPRU คือการบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามิกโมโร (MILF) ในปี 2557 ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งเขตปกครองตนเองบังซาโมโรในมุสลิมมินดาเนา

จุดเด่นของ OPAPRU คือการผสมผสานแนวทางจากบนลงล่างและล่างขึ้นบน โดยมีทั้งการเจรจาระดับสูงกับผู้นำกลุ่มต่างๆ และโครงการระดับท้องถิ่นที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน

นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการแนวทางที่คำนึงถึงความอ่อนไหวต่อความขัดแย้งและการส่งเสริมสันติภาพ (Conflict-Sensitive and Peace-Promoting Approach) ในนโยบายการพัฒนาและโครงการรัฐบาลต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เพิ่มความตึงเครียดในพื้นที่เสี่ยง

ในอินโดนีเซีย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอินโดนีเซีย (Komnas HAM) ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2536 ช่วงปลายรัฐบาลประธานาธิบดีซูฮาร์โต ก่อนได้รับการเสริมความเข้มแข็ง หลังการล่มสลายของระบอบเผด็จการในปี 2541

Komnas HAM แม้ไม่ใช่หน่วยงานสร้างสันติภาพโดยตรง แต่มีบทบาทสำคัญในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสนับสนุนกระบวนการปรองดองในอินโดนีเซีย

Komnas HAM ได้ดำเนินการสืบสวนเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญในประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย เช่น การสังหารหมู่ในปี 2508-2509 หลังความพยายามรัฐประหารที่ล้มเหลว ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 500,000 คน

และเหตุการณ์ความรุนแรงในเดือน พ.ค.2541 อันนำไปสู่การล่มสลายของระบอบซูฮาร์โต การเปิดเผยความจริงเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการสร้างสำนึกร่วมกันทางประวัติศาสตร์และป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอนาคต

ความน่าสนใจของ Komnas HAM อยู่ที่การเชื่อมโยงประเด็นสิทธิมนุษยชนเข้ากับกระบวนการสร้างสันติภาพในพื้นที่ขัดแย้ง เช่น อาเจะห์และปาปัว โดยร่วมมือกับกลไกสันติภาพอื่นๆ

 เช่น คณะกรรมการความจริงและการปรองดองในอาเจะห์ (KKR Aceh) ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามข้อตกลงสันติภาพเฮลซิงกิในปี 2548 ระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียและขบวนการอาเจะห์เสรี (GAM)

เราสามารถสรุปบทเรียนสำคัญจากการดำเนินงานของทั้งสองประเทศนี้ได้หลายประการ ดังนี้

1.การมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนและได้รับการยอมรับ ช่วยเพิ่มความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือของสถาบัน เห็นได้จาก Komnas HAM ที่มีกฎหมายจัดตั้งผ่านการพิจารณาของรัฐสภา ทำให้ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายในสังคม

2.การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ ทั้งสามสถาบันล้วนมีกลไกให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการสันติภาพของ OPAPRU

หรือการรับเรื่องร้องเรียนและการไกล่เกลี่ยของ Komnas HAM การสร้างเวทีให้ผู้ได้รับผลกระทบได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจช่วยสร้างความเป็นเจ้าของและการยอมรับกระบวนการ

3.การค้นหาความจริงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความปรองดอง Komnas HAM เน้นการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและป้องกันการบิดเบือนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเยียวยาและการปรองดอง โดยต้องมีความสมดุลระหว่างการเปิดเผยความจริงกับการไม่ซ้ำเติมบาดแผลเก่า

4.ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านต้องปรับให้เหมาะสมกับบริบท โดยในกรณีของ Komnas HAM ที่มุ่งนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แสดงให้เห็นว่าไม่มีแบบแผนตายตัว แต่ต้องพิจารณาจากบริบทและความต้องการของแต่ละสังคม

บทเรียนจากกรณีศึกษาทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าเราควรคัดลอกรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาใช้กับประเทศไทยทั้งหมด แต่ควรศึกษาและประยุกต์แนวทางที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย โดยคำนึงถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และลักษณะเฉพาะของความขัดแย้งในประเทศไทย 

การสร้างความปรองดองเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่นจากทุกฝ่าย แต่ด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่น เราอาจหาหนทางที่เหมาะสมในการเยียวยาแผลประวัติศาสตร์และก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างสันติ.