"ราชาเฟอร์รี่" ลุยธุรกิจใหม่เพิ่มรายได้ ทดแทนพึงการท่องเที่ยว
“ราชาเฟอร์รี่” จัดประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ผู้ถือหุ้นเห็นชอบแผนดำเนินธุรกิจ เผยแนวโน้มธุรกิจปี 65 คืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือพะลวย พร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่ ทดแทนพึงการท่องเที่ยวเป็นหลัก
นายอภิชาติ ชโยภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) หรือ RP เปิดเผยว่า บริษัทฯ จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นผ่านการอนุมัติทุกวาระตามมติที่คณะกรรมการเสนอ พร้อมกางแผนธุรกิจปี 2565 มุ่งเน้นการบริหารที่มีประสิทธิภาพ ขยายโอกาสทางธุรกิจ และเพิ่มช่องทางรายได้ เพื่อทดแทนรายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไป เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด19
สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในปี 2565 ยังคงเน้นที่โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเกาะพะลวย ซึ่งคืบหน้าไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และธุรกิจต่อเนื่องมาต่อยอด เช่น การท่องเที่ยวหมู่เกาะ การก่อสร้างบนเกาะ และการรับส่งสินค้า รวมไปถึงอยู่ระหว่างการศึกษาทำคลังสินค้ากลาง เพื่อเป็นตัวกลางในการรับฝากสินค้าและกระจายสินค้าบนเกาะสมุยและเกาะพะงัน รวมถึงทดลองปลูกต้นกระท่อมในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อนำร่องรองรับการแปรรูป เพื่อเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้ในอนาคต
ขณะเดียวกันก็จับมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจเดินรถโดยสารรายใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อเชื่อมการท่องเที่ยว 2 ฝั่งทะเลใต้ คือทะเลอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและการเดินทางในเส้นทางเกาะสมุย/เกาะพะงัน -กระบี่ และภูเก็ตให้มากขึ้น
“ขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นในแผนธุรกิจปี 2565 โดยเฉพาะการก่อสร้างท่าเทียบเรือพะลวย เพราะมีโมเดลเหมือนกับเกาะพีพีสมัยก่อน เพราะเป็นเกาะใหญ่ที่อยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง และยังเป็นเกาะที่มีธรรมชาติ มีจุดขายของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวต่างชาติแสวงหา นักท่องเที่ยวไทยก็เริ่มรู้จักเกาะพะลวยมากขึ้น บริษัทจึงมองเห็นอนาคตที่จะเป็นจุดขายเหมือนกับเกาะพะงันที่มีฟูลมูน ที่เป็นหนึ่งเดียวในโลกเช่นกัน และเราเริ่มเห็นสัญญาณบวกที่ดีจากช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวเกาะพะงันมากกว่าที่คาดกันไว้มาก” นายอภิชาติ กล่าว
อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้หยุดนิ่งในการหาช่องทางรายได้เพิ่ม แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความชัดเจนของนโยบายรัฐด้วย โดยเฉพาะเรื่องการเปิดประเทศรับการท่องเที่ยวว่าจะไปทิศทางเดียวกันหรือไม่