หุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนักสุดนับตั้งแต่ปี 63

หุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนักสุดนับตั้งแต่ปี 63

สินทรัพย์ในเกือบทุก asset classes ถูกเทขายหนักอีกครั้ง. นำโดยหุ้นสหรัฐฯ (Down Jones -3.12%, SP500 -3.56%, NASDAQ -4.99%), ทองคำ (Gold future -1.88%), รวมถึงพันธบัตร

หลังนักลงทุนตระหนักได้ว่าความพยายามของเฟดในการผ่อนคลายตลาดนั้นไร้ผลเมื่อพิจารณาจากระดับอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงนานกว่าคาดซึ่งจะบีบให้เฟดอาจต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยแรงในท้ายสุด ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเริ่มเห็นผลกระทบที่ชัดมากขึ้นผ่านตัวเลขความเชื่อมั่นและการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัวลงจากผลของค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขกำไรคาดการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ถูกปรับลงต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา 

บอนด์ยีลอาจไม่หยุดที่ 3%. จากการศึกษาไซเคิลอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐในอดีต (ช่วงปี 1994-1995, 1999-2000, 2004-2006, 2015-2018) พบว่า ผลตอบแทนพันธบัตรมักผ่านจุด peak ก่อนเฟดขึ้นดอกเบี้ยสุดราว 2-3 เดือน ซึ่งหากอ้างอิงจากผลการศึกษาดังกล่าวสามารถบ่งชี้ได้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอาจขึ้นต่ออย่างน้อยจนถึงไตรมาส 4/65 (ตลาดคาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย...) ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาด ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มลงต่อจากระดับ Earnings Risk Premium (ERP) ที่แคบลง **อัตราผลตอบแทน ตลาดหุ้น – พันธบัตร
 

โฟกัสการลงทุนรายตัว/กลุ่ม. กลยุทธ์การเลือกหุ้นจะทำได้ยากขึ้นในช่วงที่ตลาดเข้าสู่ช่วงปลายวัฏจักรขาขึ้น (late cycle) ผ่านผลกระทบของเงินเฟ้อที่สูงและการทยอยถอนมาตรการกระตุ้นของกลุ่มธนาคารกลาง เราเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อต่ำ, ภาพรวมกำไรคาดการณ์ที่ยังคงแข็งแกร่ง, และถูกซื้อขายบนระดับ PE ที่ไม่แพง อาทิ พลังงาน, ธนาคาร, โรงพยาบาล, ประกันฯ เป็นต้น 

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO 4) กลุ่มมีลุ้นเข้า SET50 ได้แก่ JMT, JMART 5) กอง REIT ได้แก่ FTREIT, WHART 6) ขณะที่หุ้นกลาง-เล็กที่สามารถเลือกเก็งกำไร (แบบกำหนดจุดตัดขาดทุน) ในช่วงนี้ ได้แก่ THREL, BLA, MAJOR, TH, SCN, SCI, CMR, TKN, SPA เป็นต้น

ภาพรวมกลยุทธ์: แม้โดยรวมยังคงมุมมองระมัดระวังสำหรับไตรมาส 2/65 ที่อัพไซต์อาจจะจำกัด แต่ระยะสั้นตลาดมีโอกาสฟื้นตัว หลังนักลงทุนปรับสถานะการลงทุนผ่าน sell in April ไปพอสมควร ทำให้ถือเงินสดในมือสูงและมีความพร้อมในการเข้าเพิ่มสถานะการลงทุน อย่างไรก็ตามเน้นในหุ้นใหญ่พื้นฐานดีที่ valuation ไม่แพงหรือกระแสเงินสดสูงที่สามารถจำกัด downside risk ได้เป็นหลัก //หุ้นแนะนำ:  SCB*, OR*, MAJOR*, BLA*

แนวรับ: 1,630 / แนวต้าน : 1,653-1,660 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

ประเด็นการลงทุน

นักลงทุนยังคงคาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เดือนหน้า – FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 75% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 14-15 มิ.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 19% เมื่อเดือนที่แล้ว

สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาด – เพิ่มขึ้น 19,000 ราย สู่ระดับ 200,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และเป็นตัวเลขการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2564 นักวิเคราะห์คาดอยู่ที่ระดับ 182,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว

BoE ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.00% สูงสุดในรอบ 13 ปี - ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.00% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปีเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ

พลังงานพุ่งดัน "เงินเฟ้อ" สูงเดือนเม.ย.ขึ้นต่อเนื่อง - เงินเฟ้อ" เดือน เม.ย.เพิ่ม 4.65% ผลจากราคาพลังงาน อาหารสด มาตรการควำบาตรของรัสเซีย คาดเงินเฟ้อ เดือนพ.ค. 2565 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง

ก.ล.ต.ปรับ บิทคับ ออนไลน์-คณะกรรมคัดเลือกเหรียญ KUB เข้าเทรด– จำนวน 5 ราย กระทำการหรือละเว้นกระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ เป็นเหตุให้เหรียญ KUB เข้าซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์  

 

ประเด็นติดตาม: 6 พ.ค. – US Nonfarm Payrolls, US Unemployment Rate / 8 พ.ค. – China Trade Balance / 11 พ.ค. – US Core CPI / 12 พ.ค. – MSCI Rebalancing, US PPI
(

* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)