วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ AEONTS NPL ที่เพิ่มขึ้นกดดันค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) ใน FY3Q67F
AEONTS คาดว่า NPL จะเพิ่มขึ้นอีกใน 3Q67 (สิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน) เพราะไม่มีการขาย NPL ออกไปและ มี NPL เกิดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ AEONTS มีการตัดหนี้สูญลดลงใน 2Q67 ทำให้ NPL เพิ่มขึ้นในไตรมาสก่อน
ทั้งนี้จากตัวเลข NPL เกิดใหม่ในส่วนของสินเชื่อปลอดหลักประกันที่เพิ่มขึ้นทั้งระบบใน 3Q67 เราจึงมองว่า NPL ของ AEONTS มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใน 3Q67F ถึงแม้ว่าสินเชื่อจะโตในอัตราที่ชะลอลง แต่เม็ดเงินที่ใช้ตั้งสำรองน่าจะเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY โดยคิดเป็นค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 8.9% ใน 3Q67F จาก 8.7% ใน 2Q67 และ 8.1% ใน 3Q66
กำลังพิจารณายื่นขอเข้ามาตรการช่วยเหลือของ ธปท.
AEONTS กำลังทบทวนลูกหนี้ที่ประสบปัญหา และ เข้าเกณฑ์เข้ามาตรการช่วยเหลือของ ธปท. โดยบริษัทบอกว่าจะยื่นขอเข้ามาตรการในส่วนของลูกหนี้สินเชื่อ stage 3 แทนที่จะเป็น stage 2 โดยบริษัทมีสัดส่วนสินเชื่อ stage 2 ค่อนข้างต่ำเพียง 3% ของสินเชื่อรวมเท่านั้น (เมื่อเทียบกับของ KTC ที่ 12%) ในขณะที่หนี้เสียส่วนใหญ่กลายเป็น NPL ไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5.8% ของสินเชื่อรวม บริษัทเชื่อว่าการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาโดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 10% จะทำให้บริษัทสามารถยื่นขอ soft loan ซึ่งมีต้นทุนการเงินต่ำมาช่วยลดต้นทุนทางการปัจจุบันได้บางส่วน (ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6%)
คาดว่ากำไรใน FY3Q67F จะอยู่ที่ 690 ล้านบาท (-16% QoQ, -2% YoY และ -6% ในงวด 9M67F)
กำไรที่ลดลงอย่างมาก QoQ สะท้อนถึงฐานรายได้ที่สูงเพราะมีกำไรจากการขาย NPL 170 ล้านบาท แต่หากตัดรายการนี้ออก กำไรจะทรงตัว QoQ แต่ เพิ่มขึ้น 3% YoY ใน 3Q67 และ เพิ่มขึ้น 1% ในงวด 9M67 โดยในส่วนของผลการดำเนินงานหลักเป็นดังนี้ 1.) สินเชื่อทรงตัว QoQ แต่ลดลง 3% YoY ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากสินเชื่อบัตรเครดิตที่ลดลง 9% YoY 2.) spread ของสินเชื่อลดลง 3.) credit cost เพิ่มขึ้นเป็น 8.9% ใน 3Q67 (จาก 8.7% ใน 2Q67 และ 8.1% ใน 3Q66)
ปรับลดคำแนะนำเป็นถือ โดยประเมินราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าที่ 132 บาท อิงจาก PE ที่ 11.5x
เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2568F ลง 4% เพื่อสะท้อนถึงสินเชื่อที่โตลดลงเหลือ 2% จาก 4% และ กำไรจากการขาย NPL ที่ลดลง ทั้งนี้ จาก NPL ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาจากสินเชื่อปลอดหลักประกัน และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้เรา de-rate PE เหลือ 11.5x (เท่ากับ -0.5 S.D.) จากเดิม 13x อิงจากประมาณการกำไรเฉลี่ย 2 ปี ในปี 2567F-2568F ทำให้ได้ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าใหม่ที่ 132 บาท (ลดลงจากเดิมที่ 145 บาท) นอกจากนี้ เรายังปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็นถือด้วย
Risks
เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า, ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ทางการกดดัน yield สินเชื่อ, NPLs เพิ่มขึ้น.