ความกังวลของตลาดเกี่ยวกับผลกระทบจากคริปโตน่าจะค่อยๆลดลง
ตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวหลังปรับลดลงแรง วานนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงแรงจากความกังวลความผันผวนในสินทรัพย์ดิจิทัลอาจกระทบกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม พัฒนาการของเหตุการณ์หลายๆอย่างน่าจะทำให้ตลาดค่อยๆทยอยลดความกังวล ได้แก่
1) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกมายืนยันการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุม 2 ครั้งหน้า ตัดความกังวลการขึ้นดอกเบี้ยในระดับสูงเกินคาด และสร้างความชัดเจนในระยะสั้น 2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับลดลงจากเกิน 3% มาอยู่ที่ 2.82% 3) สกุลเงินดิจิทัลที่มีกลไกรักษามูลค่า (Stable coin) อย่าง USDT กลับมาตรึงราคาได้ใกล้เคียง 1 USD หลังจากวานนี้มูลค่าปรับลดลงไปถึง 0.941 USD
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง แม้เป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง แต่อีกนัยหนึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้โมเมนตัมทางเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งสงครามในยูเครนและปัญหาการปิดเมืองที่จีน ทำให้นักลงทุนอาจเพิ่มความระมัดระวังต่อกลุ่มหุ้นที่อ่อนไหวต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจในระยะสั้น และกลุ่มปลอดภัย หรืออ่อนไหวต่อผลตอบแทนพันธบัตร อาจมีโอกาสเคลื่อนไหวดีกว่าตลาดโดยรวม โดยกลุ่มนี้ได้แก่ สื่อสาร, การแพทย์, กอง REITs และ IF เป็นต้น โดยหุ้นที่เราชอบ ได้แก่ ADVANC, BDMS, WHART, FTREIT, CPNREIT, GFPT, EGCO, CKP
ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO 4) กลุ่มมีลุ้นเข้า SET50 ได้แก่ JMT, JMART 5) กอง REIT ได้แก่ FTREIT, WHART 6) ขณะที่หุ้นกลาง-เล็กที่สามารถเลือกเก็งกำไร (แบบกำหนดจุดตัดขาดทุน) ในช่วงนี้ ได้แก่ THREL, BLA, MAJOR, TH, SCN, SCI, CMR, TKN, SPA เป็นต้น 7) หุ้นกลุ่มเก็งราคาน้ำมันลง SCGP, BJC, EPG, SCC 8) หุ้นเด่นกลุ่มพลังงาน OR
ภาพรวมกลยุทธ์: ฟื้นตัวในกรอบ 1,580-1,600 จุด ยังมองหากปรับลงแรง (1,540-1,580) SET จะเริ่มเข้าสู่โซนซื้อ ยังคงกลยุทธ์ “แค่เก็งกำไรระหว่างรอจุดซื้อที่ดี (ธีมบาทอ่อน และผลตอบแทนพันธบัตรปรับลง)” โดยเน้นในหุ้นใหญ่พื้นฐานดีที่ valuation ไม่แพงหรือกระแสเงินสดสูงที่สามารถจำกัด downside risk ได้เป็นหลัก และใช้จังหวะปรับลดลงแรงในการทยอยซื้อหรือสะสมรายตัว //หุ้นแนะนำ: TIDLOR*, WHART*, OR*, IVL*
แนวรับ: 1,580 / แนวต้าน : 1,600 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาด - เพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 203,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงสุดตั้งแต่ก.พ. และสูงกว่าคาด 195,000 ราย
จับตาวุฒิสภาเตรียมโหวตชี้ชะตา "พาวเวล" นั่งเก้าอี้ประธานเฟดสมัย 2 – จะลงมติต่อการดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 ในวันนี้เวลา 00.45 น. ตามเวลาไทย
IEA พร้อมระบายน้ำมันเข้าสู่ตลาดมากขึ้น – หากมีความจำเป็น หลังคาดการผลิตน้ำมันของรัสเซียจะลดลงอย่างน้อย 3 ล้านบาร์เรล/วันในช่วงครึ่งปีหลัง
ซีอีโอ "ดูไบ แอร์พอร์ตส์" เผยยอดผู้โดยสารอาจแตะระดับก่อนโควิดเร็วกว่าคาด – คาดปี 2567 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า 1 ปี ยอดผู้โดยสารไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 140% เทียบรายปี และเพิ่มขึ้น 15.7% จากไตรมาสสุดท้ายปี 2564
อังกฤษเผย GDP Q1/65 ขยายตัว 0.8% ต่ำกว่าคาด - คาดขยายตัว 1%
คลังหนุนงบ2หมื่นล้านลดภาษีดีเซล5บาท - ชงครม. 17 พ.ค.นี้ เสนอพิจารณา 2 แนวทาง คือการลดภาษีน้ำมันในอัตราลิตรละ 3 บาท ระยะเวลา 3 เดือน แนวทางที่สองลดภาษีน้ำมันในอัตราลิตร 5 บาท ซึ่งจะใช้เวลาที่สั้นลงกว่า 3 เดือน
MSCI Rebalance – การทบทวนหุ้นรอบ พ.ค. 65 มีผลสิ้นวันทำการ 31 พ.ค. 65
• MSCI Global Standard (+) หุ้นเข้า JMT // (-) หุ้นออก STGT
• MSCI Small Cap (+) หุ้นเข้า ASK, BYD, DITTO, FORTH, KEX, PSG, SABUY, STGT, STARK, VIBHA // (-) หุ้นออก EASTW, JMT
OISHI และบ.ย่อย ไตรมาส 2/65 (สิ้นสุดมี.ค.) กำไรสุทธิ 264.77 ลบ. - กำไร 2Q22 ที่ 0.71 บาทต่อหุ้น +91.89% yoy เทียบกับ 2Q21 ที่ 0.37 บาทต่อหุ้น
คาดเข้า/ออก SET50 – คาดเข้า JMT, JMART / คาดออก RATCH, IRPC
คาดหุ้นมีโอกาสเข้าเกณฑ์ Cash Balance – BYD, CEYE, KCC และ ALL
ประเด็นติดตาม: 16 พ.ค. - TH GDP Q1 / 17 พ.ค. – EU GDP Q1, US Retail Sales, US Industrial Production / 18 พ.ค. – EU CPI, US Building Permits / 19 พ.ค. – US Existing Home Sales
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)