บทบาทใหม่ “สุพันธุ์” ชิมลางการเมืองแก้วิกฤติเศรษฐกิจ

บทบาทใหม่ “สุพันธุ์” ชิมลางการเมืองแก้วิกฤติเศรษฐกิจ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย เปิดตัวนายสุพันธุ์ มงคลสุธี อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมงานกับพรรคไทยสร้างไทย ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค วันที่ 16 พ.ค. 2565 เป็นการเข้าสู่การเมืองทันทีที่พ้นตำแหน่งประธาน ส.อ.ท.

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า นักธุรกิจที่ตัดสินใจลงการเมืองแทบไม่มีเพราะไม่มีใครอยากเสี่ยง แต่มองว่าการทำงานการเมืองครั้งนี้ไม่ใช่ความเสี่ยง แต่เป็นอุดมการณ์ที่ต้องการช่วยประเทศ ซึ่งอยู่ในสภาวะเปราะบางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และต้องการให้สถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้นจึงตัดสินใจเข้ามามีส่วนร่วม

ทั้งนี้ มี 3 ปัญหาหลักที่ต้องเร่งแก้ ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำ ความจน และหนี้สาธารณะ ซึ่งในสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนส่งผลให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงถึง 90% ของจีดีพี ส่วนหนึ่งเพราะความช่วยเหลือของรัฐบาลไม่เพียงพอ โดยสิ่งสำคัญที่ต้องผลักดันคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) ให้นักธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้มากขึ้น เปิดโอกาสให้นักธุรกิจและภาครัฐเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

“อยากให้เศรษฐกิจดีขึ้นเลยตัดสินใจเดินมาข้างหน้าเพื่อร่วมแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ผมในฐานะเอกชนเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นดีที่สุด”

นายสุพันธุ์ เผยว่า เหตุผลที่เลือกเข้าร่วมพรรคไทยสร้างไทย เนื่องจากคุณหญิงสุดารัตน์เปิดโอกาสและมีอุดมการณ์สอดคล้องกันทั้งด้านความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานและความซื่อสัตย์ รวมทั้งมีเป้าหมายหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง มุ่งสร้างเศรษฐกิจไทย ดูแลคนตัวเล็ก ซึ่งเป็นฐานรากที่สำคัญที่สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง การสร้างโอกาสให้กับคนไทยทุกคนได้มีเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ พรรคไทยสร้างไทยมีจุดยืนที่ชัดเจน เป็นพรรคที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

สำหรับทิศทางการขับเคลื่อนของประเทศต้องโฟกัสที่สิ่งที่ประเทศถนัดและเชี่ยวชาญเป็นทุนเดิม อาทิ เกษตรกรรมเริ่มจากการช่วยให้ต้นทุนของเกษตรกรต่ำลง เมื่อต้นทุนต่ำลงแล้วจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้น ในขณะที่วัตถุดิบที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมเองก็จะมีราคาต่ำ เพื่อนำไปสู่การต่อยอดในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปและอาหาร

การขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (Bio-Circular-Green) มีความจำเป็นอย่างยิ่งบนเวทีโลก เนื่องจากความกังวลในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กำลังเป็นประเด็นที่ร้อนแรง โดนการช่วยผลักดันภาคอุตสาหกรรมไทยมุ่งเน้นการสร้างมาตรฐานในการผลิต และการสร้างความยั่งยืน อาทิ การผลิตที่สามารถหมุนเวียนทรัพยากรได้อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างขยะเท่ากับศูนย์ (Zero Waste) และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของไทยได้รับการยอมรับและสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติ

นอกจากนี้ ด้านการท่องเที่ยวและการบริการ อีกทั้งสุขภาพและไลฟ์สไตล์ ที่มีชื่อเสียงและมาตรฐานระดับโลก ต้องมีการจัดระเบียบ เพื่อเป็นประเทศที่รองรับกลุ่ม Digital Nomad หรือต่างชาติที่มีรูปแบบการทำงานแบบ Workcation เข้ามาทำงานและพักผ่อนไปด้วยในประเทศไทยมากขึ้น ก่อให้เกิดการใช้จ่ายและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายสุพันธุ์ กล่าวต่อว่า คนไทยมีความสามารถและมีคนเก่งเยอะ แต่ยังขาดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ความรู้ และตลาดโดยรัฐต้องร่วมขับเคลื่อนและสร้างกลไกสนับสนุนให้ภาคธุรกิจแข็งแรง อาทิ การออกนโยบาย กฎระเบียบต่างๆ ที่สร้างสภาพแวดล้อมที่ง่ายต่อการทำธุรกิจ สนับสนุนการเติบโตของเอสเอ็มอีด้วยนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยี

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า การเปิดตัวหัวหน้าทีมเศรษฐกิจครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยพรรคไทยสร้างไทยจะมุ่งเน้นการแก้ปัญหาปากท้อง โดยนอกจากมีนายสุพันธุ์ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว จะมีการแบ่งการทำงานออกเป็นหลายส่วนเพื่อขับเคลื่อนในแต่ละด้าน อาทิ ธุรกิจการท่องเที่ยว อาหาร โดยจะมีการแถลงข่าวเปิดตัวต่อจากนี้อีก

ทั้งนี้ ในช่วงใกล้พ้นวาระประธาน ส.อ.ท.ที่ผ่านมา นายสุพันธุ์ ได้มีการแสดงความเห็นต่อประเด็นการเมืองที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ โดยเมื่อวันที่ 10 ก.พ.2565 ได้ระบุว่า สถานการณ์การเมืองในประเทศเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ผู้ประกอบการเป็นกังวลเพิ่มขึ้น ซึ่งเอกชนมองภาพทางการเมืองว่าทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านขาดความเป็นเอกภาพ และการหนีตายทางการเมืองของแต่ละฝ่าย คือ การกำหนดวาระเฉพาะตัวเป็นที่ตั้ง

รวมทั้งกรณีมีการข้อเสนอ “ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งครั้งใหม่” ในครั้งนั้น นายสุพันธุ์มองว่า เป็นประโยชน์กับภาคเอกชนเพราะการเลือกตั้งทำให้เงินสะพัด และคิดว่าจะไม่ส่งผลในแง่ลบต่อภาคเอกชนแต่จะเป็นบวกด้วยซ้ำ เมื่อมีการเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นให้กลับมาคึกคัก

สำหรับนายสุพันธ์ุ ได้เป็นประธาน ส.อ.ท.ถึง 3 วาระ โดยวาระแรกช่วงปี 2557-2559 เป็นการเข้ามาเป็นประธานส.อ.ท.ภายหลังที่องค์กรเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจนกระทั่งแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการการเคลื่อนไหวเพื่อถอดถอน นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ออกจากตำแหน่งประธาน ส.อ.ท. รวมทั้งมีการจัดประชุมใหญ่เพื่อคัดเลือกประธานคนใหม่ โดยมีการดึงนายสันติ วิลาสศักดานนท์ อดีตประธาน ส.อ.ท.ให้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งแต่ภายหลังถือว่าการประชุมดังกล่าวโมฆะ

การเข้ามารับหน้าที่ประธาน ส.อ.ท.ของนายสุพันธุ์ในวาระแรกจึงถูกวางตัวเพื่อเป็นคนกลางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กร หรือเป็นการเข้ามาแก้ปัญหาการเมืองภายในองค์กรหลังจากแตกเป็น 2 กลุ่ม รวมทั้งมีสัญญาใจกับนายเจน นำชัยศิริ ประธาน ส.อ.ท.ในวาระถัดมา (2559-2561) ที่จะสลับกันเป็นประธานเพื่อแก้ปัญหาภายในองค์กร

หลังจากนั้นนายสุพันธุ์ได้เข้ารับตำแหน่งประธานต่ออีก 2 วาระ คือ ปี 2561-2563 และปี 2563-2565

การทำหน้าที่ประธาน ส.อ.ท.ทำให้หลังการรัฐประหารปี 2557 นายสุพันธุ์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในปี 2557-2561 โดยทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการหลายคณะ เช่น คณะกรรมาธิการการพาณิชย์การอุตสาหกรรม และการแรงงาน ได้มีการผลักดันการพัฒนาธุรกิจผ่าน สนช.ในหลายประเด็น โดยเฉพาะการส่งเสริมเอสเอ็มอี

ในด้านธุรกิจ นายสุพันธ์ เคยเป็นผู้บริหารบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยีจำกัด (มหาชน) , บริษัท พริซึม โซลูชั่นส์ ก่อนที่จะผลักดันบุตรสาวให้ขึ้นมารับไม้ต่อในการบริหารธุรกิจ