บุพเพสันนิวาส2 ความหวัง ‘จีดีเอช ห้าห้าเก้า’ เทิร์นอะราวด์รายได้หนัง 700ล.
ช่วงโควิด-19 ระบาด “โรงภาพยนตร์” เป็นอีกธุรกิจที่เข้าขั้นวิกฤติ เพราะมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้โรงหนังต้อง “มืดมิด” มาราธอน นับร้อยวัน ผลพวงตามมาคือหนังไทย-เทศฉายให้คนดูไม่ได้ ห้วงเวลาดังกล่าวผู้บริโภคจึงหันไปเสพวิดีโอสตรีมมิ่งไปก่อน
นอกจากนี้ อีกผลกระทบคือการถ่ายทำภาพยนตร์ไม่ได้ เนื่องจากการออกกองแต่ละครั้งต้องมีทีมงาน นักแสดง ผู้กำกับรวมตัวกัน อุตสาหกรรมหนังจึงปาดเหงื่อ ทว่าทันทีที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย โรงหนังเปิด หนังฟอร์มยักษ์ตบเท้าเข้าฉาย ค่ายหนังไทยอย่าง “จีดีเอช ห้าห้าเก้า” จึงเปิดโปรเจคปี 2565 เอาใจคอหนังไทย
จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด ฉายภาพว่า ช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทพร้อมเสิร์ฟหนังไทยป้อนผู้ชม 4 เรื่อง จากทั้งปี 5 เรื่อง ซึ่งเรื่องแรกได้เข้าโรงฉายให้คนดูเรียบร้อยแล้วคือ FAST & FEEL LOVE เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ ซึ่งทำเงินทั่วประเทศ 20 ล้านบาท
ส่วน 4 เรื่องไฮไลท์ จ่อคิวฉาย 28 ก.ค.นี้ ได้แก่ “บุพเพสันนิวาส2” ที่มีพระนางแม่เหล็ก “โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” และ “เบลล่า-ราณี แคมเปน” แสดงนำ และถือเป็นบิ๊กโปรเจคต่อยอดจากละครดังบุพเพสันนิวาสด้วย ตามด้วย “OMG!-Oh My Girl” ที่รวมนักแสดงวัยรุ่นชั้นนำ จะเข้าฉายปลายเดือนก.ย.นี้ เรื่อง “Home For Rent” หนังผีจากผู้กำกับ จิม-โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ ที่เคยสร้างผลงานดังอย่าง ชัตเตอร์ และลัดดาแลนด์มาแล้ว จะเข้าฉายเดือนต.ค. ปิดท้าย “You & Me” จะเข้าฉายเดือนธ.ค.
ภายใต้สถานการณ์ปกติ จีดีเอช ห้าห้าเก้า จะสร้างหนังลงโรงราว 3 เรื่อง ลงทุนกว่า 100 ล้านบาท แต่ปี 2565 หนังทั้ง 5 เรื่อง ลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เฉพาะ “บุพเพสันนิวาส 2” ทุ่มทุนกว่า 100 ล้านบาท
การลงทุนของบุพเพสันนิวาส 2 ยังไม่หมด เพราะบริษัทยังต่อยอดโปรเจค ด้วยการระดมทุนอีกกว่า 265 ล้านบาท ผ่านการออกเหรียญ DESTINY Token เพื่อดึง “ผู้ชม” มาเป็น “นักลงทุน” ผู้สร้างหนังไปในตัว โดยการการลงทุน
ทั้งนี้ DESTINY Token มี 3 รูปแบบ ได้แก่ I am Glad ราคา 5,559 บาทต่อโทเคน เสนอขาย 15,559 โทเคน I am Delighted ราคา 155,559 บาทต่อโทเคน เสนอขาย 459 โทเคน และ I am Happy ราคา 1,555,559 บาทต่อโทเคน เสนอขาย 69 โทเคน ผู้สนใจต้องลงทะเบียนและจองผ่านแอปพลิเคชัน Kubix ซึ่งจะเปิดให้นักลงทุนจองวันที่ 23 พ.ค.นี้ คาดการณ์เหรียญจะถูกจับจองหมดใน 2 วัน
สำหรับนักลงทุนที่ซื้อโทเคน จะได้รับผลตอบแทน 2.99%ต่อปี หากหนังบุพเพสันนิวาสทำเงินทะลุ 1,000 ล้านบาท จะออนท็อปผลตอบแทน 2.01% ภายใต้ระยะเวลาโครงการ 2 ปี รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่น รับชมหนังก่อนฉายจริง ของที่ระลึก ส่วนทุนใหญ่จะได้ร่วมมื้ออาหารพิเศษกับนักแสดง รวมถึงมีชื่อหรือเครดิตร่วมเป็นผู้อำนวยการสร้าง เหมือนชื่อ “อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” หัวเรือใหญ่ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ขึ้นท้ายเรื่อง เป็นต้น
ส่วนเงินที่ได้จากการระดมทุนดังกล่าว จีดีเอชฯ จะนำไปทำการตลาด เพื่อเปิดโอกาสให้ บุพเพสันนิวาส 2 ทำเงินในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะ “จีน” ที่ละครถูกปูทางสร้างฐานคนดูไว้แล้ว รวมถึงผลิตสินค้า ของที่ระลึกต่างๆเสิร์ฟกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น
“โลกนี้สร้างคอนเทนท์ให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่ความคิดสร้างสรรค์ แต่ต้องมีทุน การเงิน และเทคโนโลยีด้วย เราจึงผสาน 3 ปัจจัย พร้อมดึงคนดูมาเป็นนักลงทุน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้หนังไทยเดินหน้า สร้างการเติบโตระยะยาวด้วย”
จากแผนดังกล่าว จินา เชื่อว่าจะเป็นแรงส่งให้ธุรกิจบริษัทฟื้นตัวเติบโตอีกครั้ง โดยวางเป้าหมายรายได้รวมแตะ 700 ล้านบาท เฉพาะบุพเพสันนิวาส 2 มองทำรายได้ให้บริษัท 300-400 ที่เหลือจากหนังเรื่องอื่นๆ
ภารกิจสร้างหนัง หารายได้จากโรงเป็นช่องทางแรก ปี 2565 ยังรุกหนักแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์สตรีมมิ่ง(OTT)ด้วย ซึ่งจะเห็นเสิร์ฟ OTT ค่ายใหม่อีก 2-3 ราย ผลักดันรายได้เฉลี่ย 5 ล้านดอลลาร์
“จีดีเอช ห้าห้าเก้า เคยทำรายได้สูงสุดปี 2562 กว่า 400 ล้านบาท ส่วนกำไรพีคในปี 2561 และ 2562 เกือบ 100 ล้านบาท ขณะที่วิกฤติโควิด ทำให้รายได้ปีก่อนลดเหลือ 258 ล้านบาท แต่ยังมีกำไรกว่า 40 ล้านบาท แต่การรุกโปรเจคหนังปีนี้ บริษัทคาดว่าจะเทิร์นอะราวด์ ทำรายได้แตะ 700 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดนับจากก่อตั้งบริษัทปี 2559”