TSC คงประมาณการปี 65 โดย 2H65 จะฟื้นตัวต่อเนื่อง

TSC  คงประมาณการปี 65 โดย 2H65 จะฟื้นตัวต่อเนื่อง

รายงานกำไร 2Q65 ที่ 45.2 ลบ. เติบโต 28%QoQ แต่หดตัว 44%YoY โดยมีรายได้อื่น 11 ลบ.หนุนการเติบโต : รายงานกำไร 2Q65 (ม.ค.-มี.ค. 65) ที่ 45.2 ลบ. โดยได้แรงหนุนจากเงินคืนจากอากรขาเข้า 11 ลบ. โดยหากไม่รวมเงินคืนฯ ดังกล่าวกำไรต่ำกว่าที่เราคาดเล็กน้อย

โดยรายได้เพิ่มขึ้นสู่ 637 ลบ. เติบโต 1%QoQ แต่หดตัว 10%YoY เนื่องจากการผลิตรถยนต์ในเดือนม.ค.-มี.ค.65 ปรับตัวขึ้น 1.3%QoQ แต่หดตัว 3%YoY สู่ 480,078 คัน ขณะที่ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือน ม.ค.-มี.ค.65 อ่อนตัวลง 2.4%QoQ และอ่อนตัวลง 5.3%YoY สู่ 489,238 คัน อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย 0.4% สู่ 13.4% (อัตรากำไรขั้นต้น 2Q64 อยู่ที่ 19.9%) แต่ทรงตัวในระดับต่ำเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบซึ่งคิดเป็น 40% ของต้นทุนการผลิต อาทิ Steel Spring wire เม็ดพลาสติก และยางทรงตัวในระดับสูง ด้านอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายทรงตัวในระดับต่ำที่ 8.6% เมื่อพิจารณาเป็นเงินปรับตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน 4 ลบ.สู่  55 ลบ. (ค่าใช้จ่ายในการและบริหาร 2Q64 อยู่ที่ 59 ลบ.) ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไร 6M65 อยู่ที่ 80.6 ลบ. หดตัว38% YoY และคิดเป็น 48% ของประมาณการปี 65

- ยอดการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมเดือน ม.ค.-มี.ค.65 หดตัว 0.6% QoQ และหดตัว 1.3%YoY ตามลำดับ และแนวโน้ม เม.ย.-มิ.ย.อ่อนตัวลง : ยอดการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมเดือน ม.ค.-มี.ค. 65 อยู่ที่ 969,316 คัน หดตัว 0.6%YoY และหดตัว 1.3%YoY ตามลำดับ โดยยอดผลิตรถยนต์ฟื้นตัวตามความต้องการในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามยอดผลิตรถจักรยานยนต์อ่อนตัวลงจากยอดส่งออกที่ปรับตัวลง ทั้งนี้แนวโน้มการผลิตรถยนต์ในเดือน เม.ย.-มิ.ย.65 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเนื่องจากปัญหาชิปที่ขาดแคลน และการล็อกดาวน์ของประเทศจีนทำให้วัตถุดิบในการประกอบรถยนต์ขาดแคลนจากการขนส่งที่ล่าช้า อย่างไรก็ตามสภาอุตสาหกรรมฯ ยังคงยอดการผลิตรถยนต์ปี 65 จะเพิ่มขึ้น 7%จากปีก่อนสู่ 1.80 ล้านคัน ภายใต้สมมติฐานจีนกลับมาเปิดเมืองในเดือน ก.ค. 65 และคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ก.ค.-ธ.ค. 65 จากการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 มิ.ย. 65 เป็นต้นไป 
 

- คงประมาณการรายได้และกำไรปี 65 ที่ 2.72 พันลบ. และ 168 ลบ. ตามลำดับ : เราคงประมาณการรายได้และกำไรปี 65 ที่ 2.72 พันลบ.และ 168 ลบ. เติบโต 4%YoY แต่ลดลง 29%YoY ตามลำดับ โดยคาดว่าต้นทุนการผลิตจะปรับตัวลงหลังเฟดประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง (มี.ค. และ พ.ค. 65 ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% และ 0.50% ตามลำดับ ทั้งนี้ Fed watch คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งละ 0.50% ในการประชุมเดือนมิ.ย. 65 และก.ค. 65) และเริ่มทำ Quantitative Tightening ในเดือนมิ.ย.65 ราว 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนเพื่อสกัดการปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้การผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ใน 2H65 จะปรับตัวขึ้นบนสมมติฐานจีนคลายล็อกดาวน์ในเดือน ก.ค.65 ทำให้การผลิตรถยนต์แลรถจักรยานยนต์ฟื้นตัว สอดคล้องกับข้อมูลที่บริษัทแจ้งว่าได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากคู่ค่าในครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ เราคงสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ 15.0 % (6M65 GPM อยู่ที่ 13.2%) เนื่องจากคาดว่าต้นทุนการผลิตจะปรับตัวลงจากการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ทั้งนี้ กำไร 6M65 คิดเป็น 48% ของประมาณการ

- คงคำแนะนำจาก “ถือ” พร้อมคงราคาเหมาะสม 13.15 บาท: เราประเมินมูลค่าด้วยวิธี Dividend Discounted model (DDM) โดยแสดงวิธีคำนวณตามตารางด้านล่าง ได้ราคาเหมาะสม 13.15 บาทต่อหุ้น แม้ราคาที่ประเมินได้จะต่ำกว่าราคาปิดล่าสุดแต่ TSC มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ 4 ปีย้อนหลังราว 7% เราจึงคงคำแนะนำ “ถือ” โดยคาดหวังอัตราปันผลปี 65 อยู่ที่ 4.2%ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าปันผลเฉลี่ยย้อนหลัง 4 ปีเพราะอัตราเงินเฟ้อที่สูงผิดปกติโดยหากอัตราเงินเฟ้อกลับสู่ภาวะปกติในปี 66 อัตราเงินปันผลคาดหวังจะอยู่ที่ 6.0% ต่อปี 
 

 

ปัจจัยเสี่ยง

i)    การผลิตรถยนต์ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 
ii)    พึ่งพาลูกค้ารายใหญ่ 8 รายคิดเป็นสัดส่วน 82% ของยอดขายรวม
iii)    การเปลี่ยนเทคโนโลยีจากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนต้องปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิต