Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 30 May 2022

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 30 May 2022

ราคาน้ำมันดิบผันผวนในกรอบแคบต่อเนื่อง หลังตลาดจับตาข้อสรุปมาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ของสหภาพยุโรป

ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 110-120 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 115-125 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 30 May 2022

 

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (30 พ.ค. – 3 มิ.ย. 65) 

ราคาน้ำมันดิบคาดมีความผันผวนในกรอบแคบต่อเนื่อง เนื่องจากตลาดจับตาแผนการคว่ำบาตรของยุโรปต่อการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อหาข้อยุติในวันที่ 30-31 พ.ค. ซึ่งล่าสุดยังไม่สามารถหาข้อสรุปแบบเป็นเอกฉันท์ได้ เนื่องจากยังขาดความเห็นชอบของบางประเทศสมาชิก ขณะที่รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประจำเดือน พ.ค. ที่มีแผนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 0.5% ในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. อาจจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นอกจากนี้ตลาดคาดการณ์ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัว หลังจีนประกาศยกเลิกมาตรการล็อคดาวน์ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 
 

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:

-  ตลาดจับตาการประชุมสุดยอดผู้นำของสหภาพยุโรป ในวันที่ 30-31 พ.ค. ซึ่งมีวาระเพื่อพิจารณามาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย โดยวาระดังกล่าวต้องได้รับฉันทามติจากประเทศสมาชิก 27 ประเทศ อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปอาจไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ เนื่องจากหลายประเทศ เช่น ฮังการี ยังคงไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว เพราะกังวลผลกระทบรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งฮังการีพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียอยู่ในระดับสูง และยังขาดเงินทุนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อใช้พลังงานจากแหล่งอื่นทดแทนการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย 

-  รายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประจำเดือน พ.ค. 65 เปิดเผยว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด เตรียมการที่บริหารจัดการภาวะเงินเฟ้อในระดับสูง โดยมีแผนที่จะปรับขึ้นอัตรานโยบาย 0.5% ในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. 65 ซึ่งนับเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 22 ปี แม้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว จะเป็นตามตลาดคาด แต่นักวิเคราะห์ยังคงกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูง อาจกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ 

- ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันจีนมีแนวโน้มฟื้นตัว หลังจีนได้เตรียมยกเลิกการล็อคดาวน์ในเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 65 เป็นต้นไป เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ขณะที่รัฐบาลจีนเตรียมออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ อย่างไรก็ตามหลายเมืองยังคงบังคับมาตรการล็อคดาวน์ต่อเนื่อง อาทิเช่น หลายพื้นที่ในเมืองปักกิ่ง และเมือง Henan ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ราว 99 ล้านคน เพื่อให้ประชาชนเข้ารับการตรวจหาเชื้อ และกักตัว  อย่างไรก็ตาม 
 

 

 

 

 

-  โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มอัตราการกลั่นกว่า 1.4% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แตะระดับ 93.2% ซึ่งนับว่าเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเดือน ธ.ค. 62 เพื่อสนับสนุนอุปทานน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพื่อรองรับอุปสงค์ฤดูกาลขับขี่ในสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึงในช่วงวันหยุด US Memorial Day เป็นต้นไป 

-  ตลาดน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากอุปทานที่ตึงตัว เนื่องจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบและชาติพันธมิตร หรือกลุ่มโอเปคพลัส ยังคงประสบปัญหาในการเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ตามเป้า ขณะที่ตลาดคาดว่าการประชุมกลุ่มโอเปคพลัสในวันที่ 2 มิ.ย. ทางกลุ่มยังคงเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน มิ.ย. ตามแผน ที่ระดับ 432,000 บาร์เรลต่อวัน โดยหลายฝ่ายคาดว่ากลุ่มโอเปคพลัสจะปฏิเสธการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามข้อเรียกร้อง ล่าสุดความร่วมมือในการลดกำลังการผลิต (OPEC+ Compliance) ในเดือน เม.ย. อยู่ที่ระดับ 220% เพิ่มขึ้นจากเดือน มี.ค. ที่ 157% ตามรายงานของรอยเตอร์  

-  ซาอุดิอาระเบีย คาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกจะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ที่กำลังฟื้นตัว เนื่องจากกำลังการผลิตสำรอง (Spare capacity) ทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำราว 2% เท่านั้น และหากอุตสาหกรรมการบินฟื้นตัว กลับสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาด จะทำให้ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอีก 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะทำให้ตลาดน้ำมันเกิดภาวะตึงตัวอย่างมาก อย่างไรก็ตามซาอุดิอาระเบียมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตจาก 12 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็น 13 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2070 แต่อาจไม่ทันกับปริมาณความต้องการใช้ที่จะเพิ่มขึ้น 

-  เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้บริโภคเยอรมนี เดือน พ.ค. ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อจีน และสหรัฐฯ เดือน พ.ค. ตลาดคาดว่าจะปรับเพิ่ม เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 

 

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (23 - 27 พ.ค. 65)  

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 4.78 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 115.07 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 6.01 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 119.43 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล  ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 112.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบผันผวน ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ณ สัปดาห์สิ้นสุด 20 พ.ค. ลดลง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 9 สัปดาห์ต่อเนื่อง โดย ณ สัปดาห์สิ้นสุด 20 พ.ค. จำนวนแท่นขุดเจาะเพิ่มขึ้น 14 แท่น แตะระดับ 728 แท่น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 63