HARN แม้บาทอ่อนกดดันอัตราการทำกำไรแต่คาดจะสามารถปรับเพิ่มราคาขาย
รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q65 ที่ 16.1 ลบ. หดตัว 28.7%YoY และ 26.8%QoQ: บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 290.0 ล้านบาท เติบโต 9.3%YoY และ9.1%QoQ จากการทยอยส่งมอบงาน ซึ่งเป็นยอดคำสั่งซื้อค้างส่งจากปี 64
ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 26.6% ปรับตัวลงจากระดับ 29.0% ใน 4Q64 และ ที่ระดับ 32.0% ใน 1Q64 สาเหตุหลักจากเงินบาทอ่อนค่า และราคาสินค้าที่ปรับตัวขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ ทำให้บริษัทในฐานะผู้นำเข้าสินค้ามาจำหน่าย มีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิงวด 1Q65 เท่ากับ 16.1 ลบ. คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 5.4% ลดลงจาก 8.4% ใน 1Q64 และ 8.1% ใน 4Q64 ด้านฐานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ปรับขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 0.31 เท่า อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 0.69 เท่า และมีสภาพคล่องรองรับการลงทุนเพิ่มโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินกู้
• คงประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ที่ 85 ลบ. เติบโต 17%YoY: เราคาดการณ์รายได้ และกำไรสุทธิปี 65 ที่ 1,180 ลบ. และ 85 ลบ. เติบโต 15% และ 17% จากปี 64 โดยกำไรใน 1Q65 คิดเป็น 19% ของประมาณการกำไรปี 65 ซึ่งเราคาดว่าในช่วงที่เหลือของปี จะเห็นการปรับตัวขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น จากการปรับขึ้นราคาขายสินค้าและบริการ เพื่อชดเชยต้นทุนของสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น และณ สิ้นเดือน มี.ค. 65 มี backlog 404 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เทียบกับงวดเดือน ธ.ค. 64 ที่ 397 ล้านบาท) ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปี 65 ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การเปิดประเทศ และมาตรการผ่อนคลายการควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้งานก่อสร้างในประเทศกลับมาคึกคัก คาดบริษัทจะมียอดขายทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เติบโต ได้แก่ (ดังแสดงในภาพโครงสร้างรายได้ไตรมาส 1/2565)
o ผลิตภัณฑ์งานขายและติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงทั้งในอาคารสำนักงาน อาคารพักอาศัยและโรงงานอุตสาหกรรม (สัดส่วน 46% ของรายได้รวม)
o ผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศ (สัดส่วน 4%ของรายได้รวม) VRF ที่เป็นที่นิยม จุดเด่นคือประหยัดพลังงาน
o ระบบทำความเย็น (สัดส่วน 19%ของรายได้รวม) HARN เป็นผู้ผลิตชุดทำความเย็นให้กับบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (FORTH) สำหรับติดตั้งในตู้ชงกาแฟอัตโนมัติ “เต่าบิน”
o ธุรกิจผลิตภัณฑ์การพิมพ์ดิจิทัล (สัดส่วน 28%ของรายได้รวม) ซึ่งใช้เทคโนโลยีการพิมพ์เลเบิล สติ๊กเกอร์
o ผลิตภัณฑ์ระบบไอโอที(IoT) (สัดส่วน 0.57%ของรายได้รวม) ใช้สำหรับติดตั้งตามอาคารเพื่อติดตามการทำงานของระบบพื้นฐานของงานอาคารจากส่วนกลาง เช่นติดตามการใช้พลังงานในอาคาร การแจ้งเตือนความผิดปกติ เสียหายของระบบผ่านหน้าจอแสดงผล (Monitoring Dashboard)
• คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมเท่ากับ 2.66 บาทสำหรับปี 65 : ฝ่ายวิจัยยังคงมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวจากผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย และเป็นสินค้าที่จำเป็นในอาคารและโรงงาน ซึ่งอิงประมาณกำไรต่อหุ้นปี 65 ที่ 0.145 บาท และ Prospective P/E ที่ระดับ 18.34 เท่า (อิง PER ย้อนหลัง 5 ปีของบริษัทที่ระดับ +0.25SD) เนื่องจากเราคาดว่าในช่วงที่เหลือของปี จะเห็นการปรับตัวขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น จากการปรับขึ้นราคาขายสินค้าและบริการ เพื่อชดเชยต้นทุนของสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ราคาเหมาะสมมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 16.5% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 4.5% ต่อปี เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
ปัจจัยเสี่ยง :
1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความล่าช้าทำให้กำลังซื้อลดลง
2. การสูญเสียการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า
3. การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน
4. อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนส่งผลต่อต้นทุนสินค้านำเข้า