วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน (13 มิ.ย. 65)
ราคาน้ำมันดิบปรับลด หลังดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ สูงเกินคาด และการล็อคดาวน์อีกครั้งในจีน
- ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนท์ปรับลด หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ (CPI) เดือน พ.ค. 65 เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับ พ.ค. 64 นับเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินและสินค้าอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ตลาดกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง
- ความต้องการใช้น้ำมันจีนมีแนวโน้มถูกกดดัน หลังจีนประกาศใช้มาตรการล็อคดาวน์บางส่วนอีกครั้งในเมืองเซี่ยงไฮ้ และให้ประชาชนเข้ารับการตรวจหาเชื้อเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด จากการล็อคดาวน์อย่างต่อเนื่องในจีน ทำให้ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบในช่วงเดือน ม.ค.- พ.ค. ปรับลดลง 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ที่ระดับ 10.49 ล้านบาร์เรลต่อวัน
- Baker Hughes รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯ ณ สัปดาห์สิ้นสุด 10 มิ.ย. เพิ่มขึ้น 6 แท่น แตะระดับ 733 แท่น หลังราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ทำให้ผู้ผลิตเพิ่มงบลงทุนราว 30% ในปี 65 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ
+ หลุมขุดเจาะน้ำมันนอร์เวย์จำนวน 9 หลุม อาจต้องหยุดดำเนินการ หลังกลุ่มพนักงานรวมตัวนัดหยุดงานประท้วง หากข้อเรียกร้องเรื่องค่าจ้างประจำปีไม่ได้รับการยอมรับ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในยุโรปมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น
ราคาน้ำมันเบนซิน
ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังความต้องการใช้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลขับขี่ของสหรัฐฯ และความต้องการใช้ในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมาตรการลดภาษีน้ำมันลง 30% ในช่วง พ.ค. ถึง ก.ค.
ราคาน้ำมันดีเซล
ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังสิงคโปร์ ณ สัปดาห์สิ้นสุด 8 มิ.ย. ปรับลดลง 2.78% แตะระดับ 6.79 ล้านบาร์เรล และปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังยุโรป (ARA) ปรับลด 2.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าปีที่แล้วถึง 36.7%