‘สุพัฒนพงษ์’ชี้คริปโตฯดิ่งกระทบศก.ไทยน้อย ชึ้เงินลงทุนรวมยังไม่มาก

‘สุพัฒนพงษ์’ชี้คริปโตฯดิ่งกระทบศก.ไทยน้อย ชึ้เงินลงทุนรวมยังไม่มาก

“สุพัฒนพงษ์” ชี้คริปโตฯดิ่งไม่กระทบศก.ภาพรวม เหตุขนาดเงินลงทุนยังน้อยเมื่อเทียบการลงทุนในหุ้น ดีอีเอส - ศึกษาฯแนะให้ความรู้ทางการเงิน – การลงทุนประชาชนเพิ่ม ครม.เคาะแผนพัฒนาทักษะทางการเงิน 65 – 70 สร้างความตระหนักรู้ ให้คนไทยมีทักษะในการบริหารจัดการเงิน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวถึงสถานการณ์การปรับลดลงของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลในขณะนี้ว่าในการลงทุนเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน่วยงานที่กำกับดูแลอยู่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้มีการเตือนถึงความเสี่ยงในการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้มาเป็นระยะๆเพราะมีความผันผวนสูงมาก แต่ในเรื่องของการตัดสินใจลงทุนนั้นเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องประเมินความเสี่ยงด้วยตัวเอง

เมื่อถามว่าการปรับลดของสินทรัพย์ประเภทนี้จะกระทบกับภาพรวมของเศรษฐกิจหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณถึงผลกระทบเนื่องจากแม้จะมีจำนวนคนที่เข้าไปลงทุนในส่วนนี้มากแต่ปริมาณของเงินลงทุนนั้นไม่มาก และยังเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

“เรื่องนี้มีการปรับตัวลดลงมามากแต่ยังไม่กระทบกับการออมหรือการใช้จ่ายในภาพรวมของประเทศ เพราะปริมาณเงินที่หายไปจากการปรับลดของสินทรัพย์ประเภทนี้ยังไม่มากเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์”นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันทำให้มีแพลตฟอร์มทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาเปิดให้นักลงทุนเข้าถึงได้ง่าย ในส่วนของกระทรวงดิจิทัลฯคงไม่สามารถไปปิดกั้นแพลตฟอร์มพวกนี้ได้เพราะไม่ใช่เว็บไซต์การพนันที่ผิดกฎหมาย ส่วนการเตือนนักลงทุนในเรื่องความเสี่ยงก็ไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลฯโดยตรง

“ในมุมส่วนตัวก็มองว่าสินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนมาก และขณะนี้ดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯปรับขึ้นชัดเจนทำให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับลดลงมากหุ้นคนที่ลงทุนในหุ้นก็ยังเจ็บตัวมาก ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรทำมากขึ้นคือสอนในเรื่องของการให้ความรู้ทางการเงินกับประชาชนโดยเฉพาะเรืองของการประเมินความเสี่ยงก่อนการลงทุน”นายชัยวุฒิ กล่าว

 

ด้านคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ผ่านมาการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมาก ในสถานศึกษาหลายแห่งมีการเปิดหลักสูตรเรื่องของการสอนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะซึ่งอาจเป็นการส่งเสริมเรื่องการลงทุนในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งต่อไปกระทรวงศึกษาธิการต้องมาเน้นในเรื่องการสอนในภาพรวมของเรื่องการวางแผนทางการเงินโดยรวม และสอนเรื่องการประเมินความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งเป็นประเด็นที่ ครม.หารือกันในวันนี้คือในเรื่องของแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินของประชาชนซึ่งเน้นในเรื่องการสร้างทักษะที่นำไปใช้ได้จริง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ มีมติเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565 - 2570 เพื่อเป็นกรอบนโยบายและกลไกบูรณาการการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินของประเทศไทย และเป็นแนวทางการจัดทำโครงการและกิจกรรมที่เสริมสร้างทักษะทางการเงินของคนไทยให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด ประกอบด้วย 8 มาตรการ 19 แผนงาน ดังนี้

เป้าหมายที่ ให้ คนไทยตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการบริหารจัดการเงินและเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน ประกอบไปด้วย มาตรการที่ 1 ยกระดับความสำคัญการพัฒนาทักษะทางการเงิน อาทิ จัดกิจกรรมเพื่อสร้างการตระหนักรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชน มาตรการที่ 2 ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลและองค์ความรู้ทางการเงินที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้และสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางการเงินด้วยตนเองของประชาชน ใช้เทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลเพื่อเพิ่มระดับการเข้าถึงข้อมูล องค์ความรู้และข่าวสารทางการเงินที่ถูกต้องและเชื่อถือ พัฒนาเว็บไซต์ความรู้ทางการเงินเพื่อคนไทย www.รู้เรื่องเงิน.com เพื่อเป็นศูนย์รวมข้อมูล ความรู้ และข่าวสารด้านการเงินสำหรับประชาชน โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ

เป้าหมายที่ 2 ให้คนไทยมีความรู้และทักษะทางการเงินเพียงพอที่จะนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตประกอบไปด้วย มาตรการที่ 3 กำหนดกรอบสมรรถนะทางการเงินสำหรับคนไทย มาตรการที่ 4 ผลักดันการพัฒนาทักษะทางการเงินในหลักสูตรการเรียนในระบบการศึกษา ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับอาชีวศึกษา การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย มุ่งให้เกิดการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ส่งเสริมความรู้ด้าน Financial Literacy แก่กลุ่มข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

 มาตรการที่ 5 พัฒนาทักษะทางการเงินของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายตลอดช่วงชีวิต ประกอบด้วย กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มอุดมศึกษา กลุ่มผู้มีงานทำ กลุ่มภาครัฐ กลุ่มประชาชนระดับฐานราก กลุ่มองค์กรการเงินชุมชน กลุ่มผู้สูงวัย/เกษียณอายุ กลุ่มประชาชนทั่วไป กลุ่มถ่ายทอดความรู้และทักษะการเงิน กลุ่มเปราะบางทางการเงินสูง มาตรการที่ 6 พัฒนากฎระเบียบและมาตรการเพื่อสนับสนุน อาทิ กำหนดให้องค์กรในภาคการเงินต้องจัดให้มีกิจกรรมหรือการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงิน กำหนดให้บุคลากรภาครัฐบรรจุใหม่ได้รับการฝึกอบรมการเงินส่วนบุคคล 

เป้าหมายที่ 3 ให้ประเทศไทยมีกลไกขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างบูรณาการ เพื่อให้เกิดระบบนิเวศด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินที่ยั่งยืน มาตรการที่ 7 จัดตั้งกลไกขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างบูรณาการและยั่งยืน อาทิ แต่งตั้งคณะกรรมการการพัฒนาทักษะทางการเงินเพื่อขับเคลื่อน กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการตามร่างแผนปฏิบัติการฯ มาตรการที่ 8 สร้างระบบการติดตามและประเมินผล อาทิ จัดให้มีการสำรวจระดับทักษะทางการเงินทุก 2 ปี ผลักดันให้มีการบูรณาการระบบข้อมูลความรู้/ทักษะทางการเงิน 

“ครม. คาดหวังว่า คนไทยมีระดับทักษะทางการเงินสูงขึ้นในทุกด้านและเพียงพอสำหรับการบริหารจัดการเงินอย่างเหมาะสมในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย มีการก่อหนี้และภาระหนี้ที่ไม่จำเป็นลดลง มีการออมเพิ่มขึ้นและมีการออมตามแผนทางการเงินและเป้าหมายในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งมีภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยง และแรงกดดันทางการเงิน ผ่านการวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมตามแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ทั้งยังมีทักษะด้านการเงินดิจิทัล มีความรู้ความเข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากการเงินดิจิทัลได้ รวมทั้งสามารถป้องกันและจัดการกับความเสี่ยงหรือภัยที่เกิดจากการเงินดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ได้กำหนดเป้าหมายปี 2565 เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน”