‘นิวยอร์ก’ เห็นผล ‘เก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง’ ลดจราจรแออัดได้ 7.5%

การจราจรในนิวยอร์กลดลงนับตั้งแต่มีโครงการเก็บค่าผ่านทางยานยนต์ที่เข้าไปในพื้นที่การจราจรแออัด ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.

องค์การขนส่งมวลชนของนิวยอร์ก (MTA) เผยว่า รถยนต์ในย่านใจกลางธุรกิจลดลง 273,000 คัน จากวันจันทร์ (6 ม.ค.) ถึงวันศุกร์ (7 ม.ค.) หรือการจราจรลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับคาดการณ์ในวันธรรมดาในเดือนม.ค. ที่ไม่มีโครงการดังกล่าว

ค่าธรรมเนียมเพื่อลดการจราจรที่คับคั่ง ซึ่งเป็นการเรียกเก็บครั้งแรกในสหรัฐ จะเก็บจากรถยนต์สูงสุด 9 ดอลลาร์ (ราว 312 บาท) โดยอัตราค่าธรรมเนียมจะเก็บแตกต่างกันไปในรถยนต์แต่ละประเภท

โดยผู้ขับขี่ส่วนใหญ่จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 9 ดอลลาร์ต่อวัน สำหรับเขตที่มีการจราจรหนาแน่นในชั่วโมงเร่งด่วน และเก็บค่าผ่านทาง 2.25 ดอลลาร์ (ราว 78 บาท) ในช่วงเวลาอื่น

รถบรรทุกขนาดเล็กและรถบัสที่ไม่ใช่รถโดยสารประจำทาง เสียค่าธรรมเนียม 14.40 ดอลลาร์ (500 บาท) เพื่อเข้าเขตแมนฮัตตันในช่วงเวลาเร่งด่วน ขณะที่รถบรรทุกขนาดใหญ่และรถบัสนักท่องเที่ยวเสียค่าธรรมเนียม 21.60 ดอลลาร์ (750 บาท)

จานโน ลีเบอร์ ประธานกรรมการบริหาร MTA เผยว่า 

"ข้อมูลเบื้องต้นสอดคล้องกับที่ชาวนิวยอร์กบอกเรามาตลอดทั้งสัปดาห์คือ ปริมาณการจราจรลดลง ถนนหนทางดูปลอดภัยขึ้น และรถบัสเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น"

MTA ยังได้โพสต์ในแพลตฟอร์ม X ด้วยว่า ผู้ขับขี่รถยนต์ก็ประหยัดเวลามากขึ้น ขณะที่รถโดยสารประจำทางและรถด่วนก็เคลื่อนที่ได้ โดยเฉพาะในช่วงเช้า

การจราจรที่คับคั่งในมหานครนิวยอร์ก ครอบคลุมพื้นที่ทางตอนใต้ของเซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) และย่านสถานที่ที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ อย่างตึกแอมไพร์สเตต (Empire State) ไทม์สแควร์ (Times Square) และย่านการเงินรอบวอลล์สตรีท (Wall Street)

 

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อลดปัญหาการจราจรแออัดในนิวยอร์ก และลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างเครือข่ายรถโดยสารสาธารณะ

อย่างไรก็ตาม แม้มีคนยอมรับการเก็บค่าธรรมเนียมหลายคน แต่ก็ยังเผชิญกับการต่อต้านมากมาย

ตามข้อมูลของ INRIX บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการจราจร ระบุว่า เมื่อปีที่แล้วนิวยอร์กได้รับขนานนามว่าเป็นเขตเมืองที่มีการจราจรคับคั่งที่สุดในโลกเป็นปีที่สองติดต่อกันแล้ว

 

อ้างอิง: BBC