‘นิวยอร์ก’ เก็บ ‘ภาษีรถติด’ รับปีใหม่ เข้าเมืองเสีย 300 บาท หวังแก้ปัญหารถติด
“นิวยอร์ก” เก็บ “ค่าธรรมเนียมรถติด” (Congestion Pricing) รับปีใหม่ ผู้ขับขี่ต้องจ่ายเงิน 9 ดอลลาร์ เพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองในชั่วโมงเร่งด่วน
KEY
POINTS
- นิวยอร์กก็เริ่มเก็บ “ค่าธรรมเนียมรถติด” (Congestion Pricing) ผู้ขับขี่รถยนต์โดยสารจะต้องจ่าย 9 ดอลลาร์เพื่อเข้าสู่แมนฮัตตัน
- นิวยอร์กได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองที่มีการจราจรคับคั่งที่สุดในโลก จึงใช้โครงการค่าธรรมเนียมรถติดเพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด
- ทางด้าน โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้คำมั่นว่าจะยุติโครงการนี้เมื่อเข้ารับตำแหน่ง เพราะโครงการนี้จะทำให้นิวยอร์กเสียเปรียบคู่แข่ง และธุรกิจต่าง ๆ จะย้ายออกไป
ขณะที่เมืองไทยกำลังถกเถียงกันเรื่อง “ภาษีรถติด” นิวยอร์กก็เริ่มเก็บ “ค่าธรรมเนียมรถติด” (Congestion Pricing) ไปเรียบร้อยแล้ว โดยเริ่มเก็บตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2568 ซึ่งผู้ขับขี่รถยนต์โดยสารจะต้องจ่าย 9 ดอลลาร์เพื่อเข้าสู่แมนฮัตตันในวันธรรมดา ระหว่างเวลา 05.00-21.00 น. และในวันหยุดสุดสัปดาห์ ระหว่างเวลา 09.00-21.00 น. ในช่วงนอกเวลาทำการ อัตราค่าผ่านทางจะอยู่ที่ 2.25 ดอลลาร์สำหรับรถยนต์บุคคลธรรมดา
ค่าธรรมเนียมรถติดมีไว้เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดในเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านแห่งนี้ การจราจรในนิวยอร์กเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองที่มีการจราจรคับคั่งที่สุดในโลก แซงหน้าลอนดอน ปารีส และเม็กซิโกซิตี้ ในผลสำรวจการจราจรประจำปี 2023 ที่จัดทำโดย INRIX
คาดว่าโครงการนี้จะช่วยสร้างรายได้ 15,000 ล้านดอลลาร์ เงินที่ได้จะนำไปใช้ซ่อมแซมและปรับปรุงระบบรถไฟใต้ดินเก่าของนิวยอร์ก และเส้นทางรถไฟสำหรับผู้โดยสารประจำ 2 เส้นทาง
รวมถึงการปรับปรุงสัญญาณรถไฟใต้ดินให้ทันสมัย อำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสารที่มีความทุพพลภาพ และเพิ่มจำนวนรถบัสไฟฟ้าของเมือง โดยระบบเก็บค่าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์จะจัดเก็บข้อมูลจาก จุดตรวจจับกว่า 100 แห่งซึ่งกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ของแมนฮัตตัน และส่งข้อความแจ้งเตือนให้ประชาชนจ่ายค่าธรรมเนียม
“นี่คือระบบเก็บค่าผ่านทางที่ไม่เคยมีใครลองใช้มาก่อนในแง่ของความซับซ้อน เราไม่คาดหวังว่าชาวนิวยอร์กจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้ในชั่วข้ามคืน ทุกคนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งนี้” ยานโน ลีเบอร์ ประธานและซีอีโอของสำนักงานควบคุมระบบขนส่งมวลชนมหานครนิวยอร์ก หรือ MTA กล่าว
เดิมทีค่าธรรมเนียมนี้กำหนดไว้ที่ราคา 15 ดอลลาร์ แต่ แคธี โฮชุล ผู้ว่าการรัฐจากพรรคเดโมแครต คิดว่าแพงเกินไป จึงปรับราคาลงมาเป็น 9 ดอลลาร์ และค่าธรรมเนียมนี้จะแตกต่างกันไปตามประเภทของรถที่เรียกใช้ ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานยนต์ รถยนต์ รถบรรทุก และแอปพลิเคชันเรียกรถ โดยรถฉุกเฉิน เช่น รถพยาบาล รถดับเพลิง และรถตำรวจ รวมถึงรถของรัฐอื่น ๆ เช่น รถบรรทุกขยะ รถกวาดหิมะ และรถโรงเรียนและรถโดยสารประจำทางจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม
ทั้งนี้ ผู้ขับขี่จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น หากต้องข้ามสะพานและอุโมงค์ต่าง ๆ เพื่อเข้าสู่ตัวเมือง ทั้งนี้ผู้ขับขี่ที่จ่ายเงินเพื่อเข้าสู่แมนฮัตตันโดยใช้อุโมงค์บางแห่งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนจะได้รับเครดิตเงินคืนสูงถึง 3 ดอลลาร์
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเริ่มเก็บค่าผ่านทางในเช้าวันอาทิตย์ แม้จะจราจรหนาแน่นในถนนสายที่ 60 และถนนสายที่ 2 แต่ก็สามารถเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าผู้ขับขี่หลายคนจะไม่รู้พวกเขาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ซึ่งหลายคนถึงกับหัวเสียที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนี้ และกล่าวว่าเป็นไอเดียที่สิ้นคิด
ขณะเดียวกัน ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่และผู้โดยสารขนส่งสาธารณะบางส่วนกลับรู้สึกดีกับโครงการนี้ หวังว่าโครงการนี้จะช่วยลดปัญหาการจราจรคับคั่ง และเสียงแตรในละแวกบ้านจะลดน้อยลง และยังได้งบช่วยปรับปรุงระบบรถไฟใต้ดินให้ทันสมัย
ทางด้าน โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่จากพรรครีพับลิกัน ได้ให้คำมั่นว่าจะยุติโครงการนี้เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ก่อนหน้านี้นโยบายเก็บค่าธรรมเนียมเคยหยุดชะงักลงในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ด้วยเหตุผลที่ว่ารอการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลาง
ในเดือนพฤศจิกายน 2024 ทรัมป์ ซึ่งมีอาคาร Trump Tower อยู่ในโซนเก็บค่าผ่านทาง กล่าวว่าอัตราค่าผ่านทาง “จะทำให้เมืองนิวยอร์กเสียเปรียบเมืองและรัฐคู่แข่ง และธุรกิจต่าง ๆ จะย้ายออกไป”
ทั้งนี้ ลีเบอร์ ซีอีโอของ MTA กล่าวว่าเขาไม่ได้กังวลว่าประธานาธิบดีคนใหม่จะสามารถยกเลิกโครงการนี้ได้ โดยระบุว่า “ทุกคนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับเรื่องนี้ เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ตระหนักถึงเรื่องนี้และเริ่มนำเรื่องนี้มาพิจารณาในการวางแผน”
เมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก รวมทั้งลอนดอนและสตอกโฮล์ม ก็มีโครงการเก็บค่าภาษีรถติดที่คล้ายกัน แต่สำหรับสหรัฐแล้ว นิวยอร์กเป็นเมืองแรกที่มีโครงการนี้ ผู้สนับสนุนแนวคิดนี้สังเกตว่าโครงการนี้ไม่เป็นที่นิยมมากนัก เมื่อเริ่มดำเนินการในช่วงแรก แต่เมื่อผ่านไปสักพักประชาชนจะรับรู้ถึงประโยชน์ของมันได้ เช่น รถบัสมีทำเวลาได้ดีขึ้น การจราจรคล่องตัว มีรถบนท้องถนนน้อยลง
ค่าผ่านทางจะเพิ่มขึ้นเป็น 12 ดอลลาร์ในปี 2028 และเป็น 15 ดอลลาร์ในปี 2031 แผนใหม่นี้ตั้งเป้าว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ต่อปีในช่วง 3 ปีแรก จากนั้นจะเพิ่มเป็น 700 ล้านดอลลาร์เมื่อค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น และเมื่อค่าธรรมเนียมกลับมาเป็นอัตราปรกติจะสร้างรายได้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์
เจ้าหน้าที่คมนาคมคาดว่าการจ่ายค่าธรรมเนียมนี้จะช่วยลดจำนวนรถยนต์ที่เข้าสู่เขตการจราจรหนาแน่นได้อย่างน้อย 13% อย่างไรก็ตาม น่าจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งก่อนเพื่อประเมินว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยลดปัญหาการจราจรได้หรือไม่ รวมถึงจะสามารถรอดพ้นจากกระแสคัดค้านและความพยายามล้มเลิกโครงการของโดนัลด์ ทรัมป์ได้หรือไม่
ที่มา: AP News, CBS News, The New York Times