"ชัชชาติ" รับปมรถไฟฟ้าสายสีเขียวซับซ้อน ขอคนไทยลดความขัดแย้ง
“ชัชชาติ” เร่งศึกษาแก้ปม “รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย” รับเป็นปัญหาใหญ่ มีความซับซ้อน กระทบหลายส่วน ย้ำ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ขอคนไทยร่วมมือลดความขัดแย้งนำไทยก้าวสู่เมืองน่าอยู่
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในงานสัมมนา “สู่โอกาสใหม่ Stronger Thailand” ในหัวข้อ “Stronger Bangkok ; Stronger Thailand” จัดโดย “หนังสือพิมพ์มติชน” ว่า กรณีไฟไหม้ชุมชนบ่อนไก่นั้น ยอมรับว่าตอนนี้ชาวบ้านเดือดร้อนเป็นห่วงอยู่ ชาวบ้าน 109 คนต้องไปอยู่ศูนย์พัก นักเรียนหลายคนไปโรงเรียนไม่ได้ เพราะไฟไหม้หมดแล้ว ยังไม่ได้อาบน้ำ ยืนยันว่า ตนไม่ได้ทำงานหนักกว่าประชาชน มีคนหนักกว่าเราเยอะ ตื่นก่อนเรา หลับหลังเรา มีคนที่หนักกว่าเรา เราทำเต็มที่เพื่อพยายามแก้ปัญหาของประชาชน ผมทำงานปกติ แต่เผอิญมีไลฟ์ เลยเห็น แต่ไม่ต่างจากปกติ
อย่างไรก็ตาม อยากจะให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารประเทศกำหนดเป้าหมายมรการทำงาน เริ่มตั้งแต่วันน้อยๆ ก่อน แม้ว่ากว่าจะสำเร็จต้องใช้เวลา 8-10 ปีก็ไม่เป็นไร แต่การเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งเรื่องของฝุ่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ว่าจะทำอย่างไรให้ได้ผลเร็ว ๆ ต้องทำเป็นรูปประธรรม อาทิ การปลูกต้นไม้เพื่ออากาศบริสุทธิ์ถือเป็นพื้นฐาน ปัญหา PM 2.5 เป็นปัญหาเรื้อรัง วิธีการคือ ปัจจุบันไม่มีข้อมูลที่แท้จริง ไม่มีการทำวิจัยต่อเนื่อง เราจะทำโครงการนักสืบฝุ่นว่าฝุ่นมาจากไหนบ้าง อาทิ จากรถกี่เปอร์เซ็นต์ และเป็นรถประเภทไหน การเผาชีวมวลต่างจังหวัดเท่าไหร่ และโรงงานอุตสาหกรรมเท่าไหร่ เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อมูลที่ชัดเจนและเปิดเผยได้ ก็จะต้องมีมาตรการ คือใครปล่อยมลพิษก็ต้องจัดการ และประชาชนจะลงโทษ ซึ่งจากการหาเสียงเลือกตั้งพบว่าเรื่องฝุ่นเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสำคัญอันดับต้นๆ อาทิ รถบรรทุกหรือโครงการก่อสร้าง ซึ่งพลังประชาชนจะเป็นตัวกระตุ้นแรงยิ่งกว่ากฎหมาย กทม.จะติดตั้งเซ็นเซอร์ค่าฝุ่นเพิ่มจาก 50 จุดเป็น 1,000 จุด เมื่อมีระบบพร้อมทั้งการพยากรณ์ล่วงหน้าจากการคาดการณ์โดยนำเทคโนโลยีเข้ามา ส่วน EV ถือเป็นส่วนหนึ่งในการลดฝุ่น ถ้าทำแผนดีจะแก้ปัญหาได้ในระยะยาว
“ปัญหาหลักของการแก้ไขปัญหาฝุ่นคือ การไม่มีคนศึกษา และเป็นปัญหาในช่วงฤดูกาลคือเดือนพ.ย.-มี.ค. และสิ่งที่เห็นตลอดมา คือแผนนิ่ง ไม่มีการลงมือทำอย่างจริงจัง ดังนั้น จึงต้องร่วมมือกันเอกชนช่วยในเรื่องพวกนี้ รวมถึงคนที่ทำมลภาวะจะต้องจ่ายภาษีเพิ่ม”
นายชัชชาติ กล่าวว่า สำหรับปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาใหญ่ มีความซับซ้อน มีไข่แดงตรงกลาง เพราะสัญญาเดิมที่เอกชนได้ไปหมดปี 2572 และทุกอย่างต้องกลับมาเป็นของกทม. ในขณะที่ส่วนต่อขยาย 1 ที่กทม. ลงทุน และส่วนต่อขยาย 2 ที่กทม.รับมาแล้วเดินรถไฟฟ้าฟรี ซึ่งต้องจ้างเอกชนเดินรถและเป็นหนี้หลายพันล้านบาท
โดยทั้ง 3 ส่วนนี้ ยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะหากปี 2572 สัมปทานหมดแทนที่จะได้ทั้งหมดกลับคืนมา เช่นส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ที่กทม.ลงทุน ปรากฏว่าต้องจ้างเดินรถไปถึงปี 2585 ซึ่งแม้ว่ารายได้เป็นของกทม. แต่ก็ต้องจ่ายเงินเงินค่าเดินรถ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับว่ากทม.จะจ้างแพงแค่ไหน และหากจ้างแพงก็ต้องเก็บเงินผู้โดยสารไม่ให้ขาดทุน จึงต้องดูว่าสัญญาเป็นธรรมแค่ไหน ยอมรับว่ากระทบหลายส่วนและกำลังดูอยู่ ด้วยความรอบคอบโดยต้องเอาประชาชนเป็นที่ตั้งและยุติธรรมกับประชาชนรวมถึงคู่สัญญาด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของคนกทม. ที่สำคัญอีกจุดคือ รถเมล์จริง ๆ กทม. ก็สามารถเดินรถเมล์ได้แต่ก่อน แต่เมื่อโอนอำนาจไว้ที่การขอใบอนุญาตกับกรมขนส่งทางบกทั้งหมด ดังนั้น นโยบายเราจะเดินรถเสริมเป็นบางจุดในราคาที่เหมาะสม อาจจะเสริมทางเชื่อมแถวเส้นร่มเกล้าที่ไม่มีรถเมล์วิ่งหรือถนนราชพฤกษ์ เป็นต้น ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ประชาชนสนใจว่าภาษีที่จ่ายไปกทมเอาไปทำอะไร
“ปัญหาที่ผ่านมาประเทศไทยมีการขัดแย้ง ประชาชนแบ่งฝักฝ่ายใช้อารมณ์ความรู้สึก เมื่อขัดแย้งจะมีคนกลุ่มหนึ่งได้ผลประโยชน์จากการขัดแย้ง หากเราหันหน้าเข้าหากันรวมเป็นหนึ่งเดียวใช้เหตุผลมากขึ้น เชื่อว่าประเทศไทยไปได้ ถ้าทำให้ดีประเทศไทยมีโอกาสได้ดีไม่น้อยกว่าประเทศไหนในโลกนี้”
นายชัชชาติ กล่าวว่า สิ่งที่คนกทม. อยากได้คือ คุณภาพชีวิตและอากาศที่ดี การเดินทางสะดวก เพราะคนเก่งมีสิทธิ์เลือกว่าจะอยู่เมืองไหน จึงต้องเป็นความคาดหวังเป็นความร่วมมือ เชื่อว่าถ้าร่วมมือกันทุกอย่างจะไปได้ดี เช่นวินมอเตอร์ไซค์ 6,000 วินทั่วกทม. ช่วยกันกวาดวิน ร้านค่าแต่ละร้านช่วยกันทำความสะอาดร้านตัวเอง ประเทศก็เปลี่ยนไปในทางที่ดี โดยตนได้สร้าง Platform เพื่อให้อำนาจประชาชนได้มีส่วนร่วม
เพราะมองว่ากทม.ไม่ได้แพ้เมืองไหนในโลก เหมือนกับเพชรที่ยังไม่เจียรนัย หากเจียระไนนิดหน่อย หากเทียบในภูมิภาคเราขึ้นมายืนได้ไม่ยากเพราะเด็กรุ่นใหม่เก่งและมีพลัง จึงควรลดการทะเลาะเกลียดชังความขัดแย้ง และรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วสร้างกรุงเทพฯให้ไม่แพ้เมืองใดในโลกนี้