โบรกคาด “หุ้นโรงไฟฟ้า” ฟื้นตัวเด่นปี66 เหตุต้นทุนลด-ปรับ Ft
“กลุ่มโรงไฟฟ้า” ราคาหุ้นบวก รับอานิสงส์ ราคาน้ำมันดิบโลกร่วงหนัก -ปรับขึ้นค่าเอฟที “ยูโอบีเคย์เฮียน” ชี้ “ต้นทุนลด หนุนกำไรเริ่มฟื้นตัว-นักลงทุนปรับพอร์ตหันซื้อหุ้นปลอดภัย “บล.โนมูระพัฒนสิน” คาดน้ำมันลดผ่อนคลายแรงกดดันเรื่องต้นทุนก๊าซธรรมชาติ
ความเคลื่อนไหว ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าวานนี้ (6 ก.ค.) ปรับขึ้น หลังราคาน้ำมันดิบโลกร่วงหนัก นำทีมโดย บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ปิดตลาดราคาเพิ่มขึ้น 4.29% มาอยู่ที่ 36.50 บาท บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ปิดตลาดราคาเพิ่มขึ้น 1.94% มาอยู่ที่ 65.75 บาท และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ปิดตลาดราคาเพิ่มขึ้น 0.54% มาอยู่ที่ 46.75 บาท
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวขึ้นโดดเด่น มาจาก 2 ปัจจัยคือ นักลงทุนมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ส่งผลให้ปรับกลยุทธ์ลงทุนใหม่ ด้วยการโยกเงินเข้าสู่หุ้นปลอดภัย (Defensive) ซึ่งหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถือเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ก็ปรับตัวลงจากความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอย จึงมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มปลอดภัยมากขึ้น
รวมถึงต้นทุนปรับตัวลดลง และการปรับค่า Ft ขึ้น แต่สำหรับต้นทุนที่ปรับลดลงน่าจะเห็นในอีก 6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติจะเห็นผลแท้จริงต้องหลังราคาน้ำมันลดลงไปแล้ว 6 เดือน ดังนั้น คาดว่าจะเห็นต้นทุนกลุ่มโรงไฟฟ้าลดลงอย่างชัดเจนในช่วงปลายไตรมาส 4 ปี 2565
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลงเกือบ 10% ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีให้หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า หลังจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลงไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะหุ้น BGRIM และ หุ้น GPSC กว่าหุ้นโรงไฟฟ้าตัวอื่นๆ
ดังนั้น คาดว่ากำไรไตรมาส 1 ปี 2565 ของกลุ่มโรงไฟฟ้าน่าจะเป็นจุดต่ำสุด (Bottom) แล้ว โดยทิศทางไตรมาสต่อๆ ไปจะเริ่มฟื้นตัวและดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมามองว่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มปลอดภัยหากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
“หากในมุมของผลดำเนินงานกลุ่มโรงไฟฟ้าในปีนี้ยังลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากต้นทุนที่สูงกว่ามาก แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันที่ร่วงลงถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะฟื้นตัวได้แล้ว”
โดยแนะนำถือหุ้น BGRIM และ GPSC เนื่องจากต้นทุนจะเห็นลดลงอีก 6 เดือน แต่ในด้านเทคนิคมีอัพไซต์ 15-20% ซึ่งคาดว่าปีนี้กำไร BGRIM อยู่ที่ 1,213 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไร 2,276 ล้านบาท และปีหน้ามีกำไร 1,943 ล้านบาท หุ้น GPSC มีกำไร 3,409 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนมีกำไร 7,319 ล้านบาท และปีหน้าคาดกำไร 10,391 ล้านบาท
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวขึ้นแรงวานนี้ มาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงหนัก ช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นต้นทุนหลักมีแนวโน้มลดลง จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกถดถอย และแนวโน้มการล็อกดาวน์จีนรอบใหม่จากการระบาดของโควิด-19
ดังนั้น ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวขึ้นมาจาก 3 ปัจจัยบวกสำคัญ 1.กลุ่มโรงไฟฟ้าถือเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive 2.ทิศทางราคาพลังงานนํ้ามัน ,ก๊าซธรรมชาติปรับฐานและเป็นขาลง และ 3.กําไรในไตรมาส 1 ปี 2565 คาดเป็น Bottom แล้ว คาดไตรมาสถัดๆ ไปไตรมาส 2-3 ปีนี้จะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนโดยได้ประโยชน์จากค่า Ft กำลังเป็นขาขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเข้ามาซื้อในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเพิ่ม เนื่องจากมองเป็นหุ้นปลอดภัย โดยฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ หุ้นโรงไฟฟ้าเด่น 3 ตัว คือ หุ้น BGRIM , GPSC และ GULF