Food and Beverage ธุรกิจพม่าสะดุด (19 ก.ค. 65)
ธนาคารกลางของเมียนมาร์สั่งให้บริษัทเอกชนที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติไม่เกิน 35% แปลงหนี้เป็นสกุลเงินในประเทศ โดยบริษัทในประเทศ และธนาคารต่าง ๆ ถูกสั่งให้ระงับ และปรับกำหนดการชำระคืนหนี้ในสกุลเงินต่างประเทศ
กฎเกณฑ์นี้มุ่งที่จะรักษามูลค่าของเงินจ๊าตที่ร่วงหนัก และทำให้ราคาอาหารและพลังงานในเมียนมาร์สูงขึ้น ที่มา: Bangkokpost
รัฐบาลเมียนมาร์ไม่อนุญาตให้นำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย
หลังจากที่ได้คุยกับ OSP ซึ่งมี JV ร่วมกับพันธมิตรในเมียนมาร์ และมีโรงงานผลิตขวดแก้วในเมียนมาร์ทำให้เราทราบว่ารัฐบาลเมียนมาร์มีมาตรการเพิ่มเติมอีกคือไม่อนุญาตให้นำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์
OSP และ CBG ส่งออกไปเมียนมาร์ประมาณ 12-13%
ในกลุ่ม F&B เราพบว่า OSP และ CBG มีการส่งออกไปเมียนมาร์ประมาณ 12-13% ของรายได้รวม และมีเพียง OSP ที่นอกจากส่งออกไปเมียนมาร์และยังมีที่ตั้ง JV โดยถือหุ้น 51% ในโรงงานผลิตขวดแก้วที่เมียนมาร์ ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีหนี้ต่างประเทศอยู่ประมาณ 20-30 ล้านดอลลาร์ฯ ดังนั้น จึงทำให้ OSP มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น
ธุรกิจส่งออกสะดุดในช่วงสั้น ๆ
ทั้งนี้เครื่องดื่มชูกำลังไม่ถูกจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ดังนั้น การส่งออกจึงไม่ถูกระงับ อย่างไรก็ตามก ฎเกณฑ์เหล่านี้อาจจะสร้างความยุ่งยากในการแปลงรายได้จากสกุลจ๊าตเป็นสกุลบาท ทั้งนี้ ตามปกติแล้ว ทั้ง CBG และ OSP จะกำหนดราคาส่งออกเป็น บาท/จ๊าต ซึ่งมีการปรับขึ้นราคาขายปลีกมาตั้งแต่ปี 2564 เพื่อชดเชยค่าเงินจ๊าตที่อ่อนลงมาตลอด แต่ถ้าเงินจ๊าตอ่อนค่าลงอย่างมากในอนาคต OSP และ CBG อาจปรับราคาสินค้าขึ้นได้ไม่มากนักและจะกดดันต่อมาร์จิ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมาตรการควบคุมเงินทุนทำให้ค่าเงินจ๊าตผันผวนน้อยลงได้ จะช่วยจำกัดผลกระทบต่อการส่งออกไปยังเมียนมาร์ซึ่งตามข้อมูลของ Bloomberg อัตราแลกเปลี่ยนบาท/จ๊าตเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยแค่ 6% ในช่วงเดือนนี้และ ~8% YTD เท่านั้น
ถ้า บาท/จ๊าต อ่อนค่าลง 5% จะทำให้ OSP มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 40-50 ล้านบาท
การส่งออกไปเมียนมาร์เป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญของ OSP โดยธุรกิจส่วนนี้เติบโต 20% ในปี 2564 และ 1Q65 ในขณะเดียวกันบริษัทบันทึกส่วนแบ่งกำไร 51% จากโรงงานขวดแก้วเข้ามาในงบรวมของบริษัท โดยส่วนแบ่งกำไรที่รับรู้จะสุทธิจากผลกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของรายได้ในสกุลค่าเงินจ๊าด/USD/บาท ทั้งนี้ OSP บันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 101 ล้านบาท ในปี 2564 และ 37 ล้านบาทใน 1Q65 ซึ่งถ้าหากค่าเงินบาท/จ๊าต อ่อนค่าลง 5% จะทำให้บริษัทมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 40-50 ล้านบาท
รอดูสถานการณ์
ในกรณีฐาน เราคิดว่ามาตรการคุมเงินทุนของเมียนมาร์อาจจะทำให้สินค้าส่งออกบางรายการแพงขึ้นและผู้ส่งออก อย่างเช่น CBG และ OSP อาจจะไม่สามารถขึ้นราคาขายปีกเพื่อชดเชยการอ่อนค่าของเงินจ๊าตได้ ซึ่งอาจจะทำให้มาร์จิ้น ของธุรกิจส่งออกลดลงในระยะสั้นจนกว่าสถานการณ์จะมีเสถียรภาพมากขึ้น ดังนั้น เราจึงอยู่ระหว่างทบทวนคำแนะนำและราคาเป้าหมายของ CBG และ OSP
Risks
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกผันผวน, margin เปลี่ยนไป, ค่าเงินในกลุ่มประเทศ CLMV อ่อนค่าลง