จีนย้ำสัมพันธ์ไทยหนุนรับมือโควิด-19
ปรึกษาอัครราชทูตจีน เผย จีนใช้ Zero-COVID คุมเข้มโควิด -19 ประสบความสำเร็จ ตัดวงจรการระบาด ทำให้ประชาชนและเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติเต็มรูปแบบ ย้ำสัมพันธ์ไทย-จีน แน่น มอบวัคซีนโควิดให้ไทยสู้โควิด พร้อมจับมือไทยเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย-จีน
นายหยาง ซิน ที่ปรึกษาอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย บรรยายในหัวข้อ “China’s Direction After the Covid-19” ทิศทางของจีนหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในงานเปิดตัวหลักสูตร TEPCIAN หรือหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านองค์ความรู้และความร่วมมือทางธุรกิจจีน ที่จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สภาหอการค้าไทย และ มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง
โดยนายหยาง ซิน กล่าวว่า ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จีนมีนโยบายการรับมือที่เรียกว่า Dynamic Zero-COVID Policy โดยมุ่งเน้นการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกอย่างทันท่วงที การติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาด และเป็นการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้เร็วที่สุด ด้วยต้นทุนต่ำที่สุด เพื่อเป็นการปกป้องชีวิตและสุขภาพของประชาชน และลดผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้ได้มากที่สุด
จากมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้การดำเนินชีวิตของประชาชนและธุรกิจในเซี่ยงไฮ้กลับมาเป็นปกติอย่างเต็มรูปแบบ นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา และส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลจีนสูงถึง 91% ติดอันดับ 1 ของโลก สูงสุดในรอบ 10 ปี
ทั้งนี้จากสถานการณ์โควิด-19 จีนได้มีส่วนสนับสนุนมาตรการการรับมือโควิด-19 ของไทย ได้แก่ การสนับสนุนวัคซีนมากถึง 50.85 ล้านโดส และได้บริจาคเวชภัณฑ์เพื่อสนับสนุนมาตรการการป้องกันและรับมือกับโควิด-19 แก่ประเทศไทย มูลค่ากว่า 10 ล้านหยวน ซึ่งเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน
นอกจากความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศในการสนับสนุนการมาตรการการรับมือโควิด-19 แล้วประเทศไทยยังมีบทบาทและความสำคัญต่อประเทศจีน ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอาเซียน โดยเฉพาะการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยไทยเป็นประเทศแรกที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วม ว่าด้วยเรื่องความร่วมมือในศตวรรษที่ 21 กับจีน ซึ่งเป็นประเทศแรกที่สร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับที่ตกลงลดภาษีผักและผลไม้เป็นศูนย์กับจีน รวมทั้งเป็นประเทศแรกที่ก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมก่อตั้งกลไกการหารือด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศกับจีน และมีการฝึกซ้อมร่วมกัน ตลอดจนเป็นประเทศแรกที่มีสถานกงสุลมากที่สุดในจีน
จากการที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางไปเยือนเมืองหวงซาน มณฑลอานฮุย ประเทศจีน ตามคำเชิญของ นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศจีน นำไปสู่ข้อสรุปจากการหารือร่วมกันถึงทิศทางความสัมพันธ์ทางการทูต คือการร่วมกันสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน การเปิดทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย ร่วมกันคุ้มครองความมั่นคงทางไซเบอร์ และร่วมกันผลักดันการประชุม APEC ให้บรรลุผล
ทั้งนี้ในปี 2564 มูลค่าการค้าระหว่างจีน-ไทย อยู่ที่ 131.180 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 33% และจีนเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยติดต่อกัน 9 ปี ในขณะที่ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีนในอาเซียน ด้านมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรจีน-ไทย 16.5 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 12.6% ของมูลค่าการค้าจีนไทยทั้งหมด ในขณะที่พืชผลทางการเกษตรอย่างการส่งออกทุเรียนจากไทยไปจีน เพิ่มขึ้น 82% ลำไยเพิ่มขึ้น 71% มังคุดเพิ่มขึ้น 37% และมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น 117%