‘เศรษฐพุฒิ’ผู้ว่าการธปท. ชี้ ขึ้นดอกเบี้ยครั้งเดียวไม่จบ!
“เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ”ชี้ภาพเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ไตรมาส2 คาดเศรษฐกิจไทยโตเกิน3% ย้ำนโยบายการเงินต้องขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ไม่ใช่ขึ้นครั้งเดียวแล้วจบ ชี้ทุนสำรองลดไม่ได้มาจากเข้าไปแทรกแซกค่าเงินเป็นหลัก แต่มาจากการตีมูลค่าหลักทรัพย์ที่ลดลง จากดอลลาร์แข็ง
‘เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวในงาน ธปท.พบสื่อมวลชน (Meet the Press)หัวข้อ Policy Normalization: ทำอย่างไรให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด ว่า สิ่งที่ธปท. อยากเห็นอะไรในบริบทเศรษฐกิจเช่นนี้ เป้าหมายสำคัญของการดำเนินนโยบายในช่วงนี้ คือ ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ไม่สะดุด และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว สิ่งที่เราอยากเห็นมี 2 ส่วนหลัก คือ
1. เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน หรือมีเสถียรภาพด้านราคา เพราะเงินเฟ้อที่สูงจะส่งผลต่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางอย่างผู้มีรายได้น้อย เพราะรายได้หลักของคนกลุ่มนี้มักมาจากเงินเดือนหรือค่าจ้างเพียงแหล่งเดียว และเงินออมส่วนใหญ่เป็นเงินฝากที่มักถูกเงินเฟ้อกัดกร่อนได้มาก
นอกจากนี้ ผู้มีรายได้น้อยมีสัดส่วนการใช้จ่าย ในหมวดอาหารและพลังงานกว่า 55% เทียบกับคนรายได้สูงที่ 42% ซึ่งตั้งแต่ต้นปี เงินเฟ้อหมวดอาหารและเครื่องดื่มอยู่ที่ 4.8% และหมวดพลังงานอยู่ที่ 29.8% นอกจากนี้ หากเงินเฟ้อสูงต่อเนื่องนาน จะทาให้คนคิดว่าเงินเฟ้อจะสูงต่อไปเรื่อย ๆ
และยากที่จะปรับลดลง ผู้ประกอบการจึงอาจปรับขึ้นราคาสินค้า และลูกจ้างอาจขอขึ้นค่าจ้างต่อเนื่อง ซึ่งจะยิ่งทาให้เงินเฟ้อเพิ่มเร็วขึ้น (เครื่องยนต์เงินเฟ้อติด)
2. ระบบการเงินและระบบสถาบันการเงิน ทำงานได้ตามปกติ ไม่สะดุด เพราะเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาภาคธนาคารเป็นหลัก โดยกว่า 90% ของธุรกิจและครัวเรือนไทยพึ่งพาสินเชื่อจากธนาคารและ non-banks รวมถึง สถาบันการเงินยังต้องทำหน้าที่เป็นกลไกส่งผ่านการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้เปราะบางและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
เราจะทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย?
1.นโยบายการเงิน แม้เงินเฟ้อที่สูงจะมาจากปัจจัยด้านอุปทาน ซึ่งนโยบายดอกเบี้ยไม่สามารถจัดการได้โดยตรง แต่การขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่านโยบายการเงินจะดูแลเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้นต่อในระยะข้างหน้า ในทางกลับกัน
หากเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นอีก แต่เรายังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมที่แท้จริงลดลงไปอีก กลายเป็นเราเหยียบคันเร่งให้เศรษฐกิจ และนโยบายการเงินยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น
ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงยังติดลบที่ 5.70%และธุรกิจมีต้นทุนการกู้ยืมที่แท้จริงผ่านการออกตราสารหนี้ติดลบที่ 4.3% ต่ำกว่าสิ้นปีก่อนมากที่ 0.2%
การขึ้นดอกเบี้ยที่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจสะดุด ควรทำแต่เนิ่น ๆ เมื่อเห็นสัญญาณ เพราะการส่งผ่านนโยบายการเงินต้องใช้เวลา หากช้าเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เงินเฟ้อติด และต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยแรงขึ้นเพื่อดูแลภายหลัง
ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจและประชาชนมากขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงแรกของการฟื้นตัว แรงส่งที่จะทำให้เครื่องยนต์เงินเฟ้อติดยังมีไม่มาก อีกทั้งเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย
ดังนั้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทยจึงยังไม่ช้าไป
นอกจากนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อทยอยถอนคันเร่ง แต่ยังไม่ต้องเหยียบเบรกหรือเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพราะจะทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงเร็วไป จนประชาชนและภาคธุรกิจปรับตัวไม่ทัน และทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสะดุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการที่สุด
ไม่ขึ้นดอกเบี้ยครั้งเดียวแล้วจบ
ทั้งนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับต่างประเทศ เพราะบริบทเศรษฐกิจการเงินช่วงนี้ต่างกัน เช่น เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวกลับมาดีกว่าช่วงก่อนโควิดแล้วตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 64 และเงินเฟ้อสูงขึ้นมากจากอุปสงค์ในประเทศที่ขยายตัวดี
จึงต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลให้เศรษฐกิจไม่ร้อนแรงและเกิด soft landing ขณะที่ไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว การขึ้นดอกเบี้ยจึงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เป็น smooth take-off แต่การขึ้นดอกเบี้ย ไม่ใช่ขึ้นครั้งเดียวแล้วจบ แต่จะค่อยเห็นการปรับดอกเบี้ยค่อยๆปรับไปสู่ระดับปกติ
อย่างไรก็ตาม ส่วนจะมีการประชุมกนง.รอบพิเศษหรือไม่นั้น ขณะนี้ การประชุมกนง.ยังประชุมปกติ เพราะหากดูพัฒนาการเศรษฐกิจต่างๆ ตั้งแต่การประชุมกนง.ครั้งก่อน วันนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังอยู่ในการคาดการณ์ของธปท.
ส่วน Behind the Curve หรือไม่ ไม่ เพราะเราจำเป็นต้องดูบริบทการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งวันนี้การฟื้นตัวยังไม่กลับมาสู่กระดับก่อนโควิด-19
อีกทั้งหากดูเงินเฟ้อ ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายระยะกลาง ซึ่งถือว่ายังอยู่ในกรอบ แม้ว่าคาดการณ์เงินเฟ้อยังปรับตัวเพิ่มขึ้น และคาดจะเห็นเงินเฟ้อพีคในไตรมาส 3 สูงสุดที่ระดับ 7.5%
ทุนสำรองลดมาจากอะไร?
อย่างไรก็ตาม หากดูทิศทางเงินบาทปัจจุบันที่ระดับอ่อนค่า เหล่านี่มาจากส่วนอัตราอัตรดอกเบี้ยไทยสหรัฐ ที่กว้างขึ้นหรือไม่ จนทำให้เกิดเงินทุนไหลออก มองว่าการอ่อนค่าของเงินบาท มาจากหลายปัจจัย แต่หากดูหลายประเทศ ที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือดอกเบี้ยสูงกว่าสหรัฐ ก็ยังเจอกับเงินทุนไหลออก ดังนั้น “ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย”อาจไม่ใช่ตัวที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าเสมอไป
ซึ่งหากดูเงินทุนเคลื่อนย้ายของไทย เวลานี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน พบว่ายังเป็นการไหลเข้าสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่ 3.5 พันล้านดอลลาร์
ดังนั้นก็สะท้อนว่า เรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่คีย์หลัก ที่ทำให้เงินทุนไหลออก ดังนั้นเงินทุนไหลออก ทำให้เงินบาทอ่อนค่า หรือไม่? ไม่ เพราะหากดูช่วงหลัง การอ่อนค่าของเงินบาท ไม่ได้มาจากเงินทุนไหลออก แต่มาจากปัจจัยต่างประเทศ จากดอลลาร์แข็งค่า
การช่วยเหลือไปยังลูกหนี้เปราะบางและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ทุนสำรองลดมาจากแบงก์ชาติเข้าไปแทรกแซงค่าเงิน?
หากดูนโยบายการการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ปัจจุบันเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ไม่ใช่ฟิกซ์เรท ทำให้มีความจำเป็นในการเข้ามา พยุงเงินบาทมีน้อยลงมาก ไม่เหมือนกับปี 2540
ขณะที่หากดูตัวเลขการเปลี่ยนแปลงทุนสำรอง พบว่ามาจาก 3 เรื่องสำคัญ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของทุนสำรอง มาจากผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน ซึ่งหากผลตอบแทนแทนติดลบ ทุนสำรองก็จะลดลงด้วย
นอกจากนี้ ทุนสำรองที่ลดลง ยังมาจาก การตีมูลค่าสินทรัพย์ที่ลงทุน โดยในช่วงที่ดอลลาร์แข็งค่า สินทรัพย์ในสกุลอื่นๆก็จะอ่อนค่า ทำให้ในแง่มูลค่าอาจลดลง ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญตัวหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทุนสำรอง เพราะธนาคารกลาง โดยทั่วไปมักถือหลายสกุลเงินในทุนสำรอง ไม่ได้มีเพียงสกุลเงินดอลลาร์เท่านั้น
สุดท้าย คือการดำเนินนโยบายค่าเงินของธปท. เพื่อดูแลเสถียรภาพของเงินบาทไม่ให้ผันผวน ซึ่งหากดูจากทั้ง 3ปัจจัย พบว่าปัจจับนที่ทำให้ทุนสำรองธปท.ลดลงในช่วงที่ผ่านมา มาจาก การตีมูลค่าสินทรัพย์กลับมาอยู่ในรูปของดอลลาร์เป็นหลัก เพราะดอลลาร์แข็งค่า
อย่างไร ก็ตาม การซื้อขายทองคำ ก็มีส่วนสำคัญที่มีผลต่อการแข็งค่าอ่อนค่าของเงินบาทเช่นกัน เช่นเวลาที่ทองคำถูก ก็อาจทำให้มีดีมานด์ความต้องการซื้อทองเพิ่มขึ้น ซึ่งหนุนดอลลาร์ให้แข็งค่า
“ทุนสำรองที่ลดลง มาจากหลายปัจจัย และวันนี้ความจำเป็นในการเข้าไปดูแลเงินบาทมีน้อยลง และสถานการณ์วันนี้แตกต่งกับปีก40 สิ้นเชิง ที่ตอนนั้นทุนสำรองเรามีเพียง 9 หมื่นล้านบาท แต่วันนี้ 2.47 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าหนี้ระยะสั้นถึง 2.6เท่า และทุนสำรองเราถือว่าอยู่อันดับท็อปๆของโลก ดังนั้นเสถียรภาพเราไม่น่าห่วง”
ทั้งนี้ ธปท.ไม่ได้มีเป้าว่าอัตราแลกเปลี่ยนต้องอยู่ที่เท่าไหร่ ปล่อยให้เคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกตลาด แต่สิ่งที่ไม่อยากเห็นคือการปรับตัวเร็วเกินไป จนทำให้ผู้ประกอบการปรับตัวไม่ทัน ทำให้บางช่วงธปท.ต้องเข้าไปดูแลเสถียรภาพด้านราคา แต่ที่จับตามากกว่าคือ ฟันด์โฟลด์ที่ไหลเข้ามาแบบไม่มีที่มาที่ไป ดังนั้นจำเป็นต้องดูด้วยว่า เงินที่ไหลเข้ามาจากตรงไหน แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท
ตอนนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหน?
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยถูกกระทบรุนแรงและเป็นวงกว้างจากสถานการณ์โควิด 19 GDP ปี 63 หดตัว 6.2% และเกิดหลุมรายได้ขนาดใหญ่จากการจ้างงานที่ลดลง อีกทั้งการฟื้นตัวก็ยังช้ากว่าประเทศในภูมิภาค เพราะพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว สูงถึง 12% ของ GDP ด้วยเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและมีความเสี่ยงสูง ภาครัฐและ
ธปท. จึงต้องผสมผสานนโยบายการคลังและการเงินอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวได้และระบบสถาบันการเงิน (สง.) ยังทำงานได้ตามปกติ ซึ่งถือว่าทาได้ดี สะท้อนจากสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ไทยในปี 63-64 ยังโตได้ดีที่ 5-6% เทียบกับก่อนโควิดที่ 4-5%
มาวันนี้ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจนขึ้น จากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว หลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการ ต่าง ๆ และคาดว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
โดย GDP ปี 65 และ 66 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.3% และ 4.2% ตามลาดับ ด้านตลาดแรงงานทยอยปรับดีขึ้น จำนวนผู้ว่างงานและผู้เสมือนว่างงานคาดว่าจะปรับลดลงมาที่ 2.4 ล้านคนในปี 66 ซึ่งใกล้ระดับ ก่อนโควิดที่ 2.3 ล้านคน ส่วนรายได้แรงงานนอกภาคเกษตรคาดว่าจะกลับมาเพิ่มขึ้น 12% ในปีนี้ จากที่เคยหดตัวถึง 18% ในปี 63
อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวในแต่ละภาคเศรษฐกิจยังไม่ทั่วถึง (K-shaped) กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับการส่งออกฟื้นตัวได้ดีเกินกว่าช่วงก่อนโควิดไปแล้ว
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวแม้ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดค่อนข้างมาก
ดังนั้นคีย์หลัก หรือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือภาคการท่องเที่ยว โดยในปีนี้ คาดว่าจานวนนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 6 ล้านคน หรือ 15% ของจำนวนก่อนโควิด แต่คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะมีอัพไซส์พอสมควร
ส่วนภาพรวมไตรมาส2 ปีนี้ ที่คาดเศรษฐกิจไทย จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดจีดีพีน่าจะเติบโตสูงกว่า 3% หากเทียบกับไตรมาสแรก ที่จีดีพีเติบโตที่ 2.2% จากภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น
รับเงินเฟ้อสูงขึ้น
ด้านอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทานด้วยราคาน้ามันที่ปรับสูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนเป็นหลัก โดยเห็นการส่งผ่านต้นทุนในประเทศมากขึ้นและมีการกระจายไปยังสินค้าหลายหมวด
รวมถึงหมวดในกลุ่มเงินเฟ้อพื้นฐาน อาทิ ราคาอาหารสดและก๊าซหุงต้มที่ส่งผ่านไปราคาอาหารสำเร็จรูป ต้นทุนเคมีภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์และค่าขนส่งที่ส่งผ่านไปราคาสินค้าหมวด ของใช้ส่วนตัว
โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 65 และ 66 จะอยู่ที่ 6.2% และ 2.5% ตามลาดับ มองไปข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อ ยังมีความเสี่ยงด้านสูง จากการที่ต้นทุนหลายด้านปรับสูงขึ้นพร้อมกัน รวมทั้งผลการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้การส่งผ่านอาจมากและเร็วกว่าคาด และอาจมีแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่เร่งขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ดังนั้น บริบทเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปมากเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตโควิด ทาให้การดำเนินนโยบายการเงินและมาตรการทางการเงินต้องปรับให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการเงินและสมดุลความเสี่ยงใหม่ที่ให้น้าหนักกับเงินเฟ้อมากขึ้น
" การปรับนโยบายและมาตรการทางการเงินของ ธปท. ในระยะต่อไป จะยังเน้นการมองภาพเศรษฐกิจการเงินที่เชื่อมโยงอย่างรอบด้าน และมีความยืดหยุ่น ตามสถานการณ์ เพื่อให้การทยอยปรับนโยบายที่เข้าสู่ภาวะปกติในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและยังไม่ทั่วถึง ได้ผลตามที่ต้องการ คือ เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด และมีผลกระทบข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์น้อยที่สุด"
แบงก์แข็งแกร่ง
ปัจจุบัน ฐานะสถาบันการเงิน ยังแข็งแกร่ง โดยมีเงินกองทุน สภาพคล่อง และเงินสำรองที่สูงเพียงพอในการรองรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้า ขณะที่หากทำมาตรการที่เป็นวงกว้างนานเกินไป จะส่งผลข้างเคียงต่อระบบการเงินในระยะยาวได้
ดังนั้น จึงควรปรับมาตรการให้กลับมาสู่ระดับปกติมากขึ้น ได้แก่
(1) ยกเลิกการจำกัดอัตราจ่ายเงินปันผล โดยยังให้ สถาบันการเงิน ยึดหลักความระมัดระวัง โดยพิจารณาอัตราจ่ายเงินปันผลให้สอดคล้องกับฐานะผลการดำเนินงานและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า
และ (2) ปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF กลับมาที่ 0.46% ต่อปี ให้มีผลตั้งแต่ปี 66
การปรับมาตรการสู่ภาวะปกติมีผลข้างเคียง แต่ชั่งน้ำหนักแล้วคุ้ม โดยผู้ฝากเงินจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ขณะที่กลุ่มลูกหนี้บางประเภทที่ได้รับดอกเบี้ยลอยตัว (float) แม้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่ผลของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นต่อค่าใช้จ่ายของครัวเรือนจะน้อยกว่าผลของเงินเฟ้อที่จะลดทอนกำลังซื้อของประชาชน
โดยการประเมินของ ธปท. พบว่าดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของครัวเรือนที่มีหนี้โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.5% เทียบกับค่าใช้จ่ายครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อที่ 3.6% ซึ่งมากกว่าผลของการขึ้นดอกเบี้ยกว่า 7 เท่า
นอกจากนี้ กรณีลูกหนี้เก่า หากเป็นสินเชื่อรายย่อย ประมาณ 60% ได้รับดอกเบี้ยคงที่ (fixed) อยู่แล้ว เช่น สินเชื่อเช่าซื้อ
บัตรเครดิต ส่วนบุคคล ขณะที่สินเชื่อบ้าน แม้ดอกเบี้ยส่วนใหญ่เป็น float แต่จะกำหนดค่างวดไว้ก่อนแล้ว โดยสถาบันการเงิน จะเผื่อดอกเบี้ยที่อาจปรับเพิ่มขึ้นไว้ในค่างวด
ซึ่งกลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ลูกหนี้ธุรกิจเกือบทั้งหมดจะเป็นดอกเบี้ยลอยตัวตาม M-rate
กรณีลูกหนี้ใหม่ ได้รับผลกระทบบ้างจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ดังนั้น ลูกหนี้ควรประเมินรายได้และรายจ่ายก่อนก่อหนี้ใหม่
ทั้งนี้ การทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อดูแลเงินเฟ้อที่สูง จึงยังคุ้มค่ากว่า
อย่างไรก็ดี ยังมีลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจากรายได้ที่ยังไม่กลับมาเต็มที่ เช่น ลูกหนี้รายย่อยที่มีสินเชื่อไม่มีหลักประกัน และภาคธุรกิจ
ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
ธปท. จึงยังต้องดำเนินมาตรการเฉพาะจุดเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ดังนี้
ผลักดันมาตรการเฉพาะจุดที่ยังมีผลอยู่ ทั้งการแก้หนี้เดิมผ่านมาตรการหลัก คือ มาตรการแก้หนี้ระยะยาว 3 ก.ย. ซึ่งยังมีผลใช้ได้จนถึงสิ้นปี 66 และโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ที่มีผลถึงสิ้นเดือน เม.ย. 66 การเติมเงินใหม่อย่างมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูที่ยังมีผลถึงสิ้นเดือน เม.ย. 66 ตลอดจนช่องทางเสริมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้
เช่น คลินิกแก้หนี้
โครงการไกล่เกลี่ยหนี้ โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า มาตรการส่วนใหญ่มีผลบังคับใช้ “อย่างน้อย” ถึงปี 66 สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนขึ้น
โดย ธปท. พร้อมปรับเปลี่ยนมาตรการให้ยืดหยุ่น ตามสถานการณ์และบริบทของลูกหนี้
เพิ่มมาตรการดูแลลูกหนี้รายย่อยกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะลูกหนี้ในกลุ่มสินเชื่อไม่มีหลักประกัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ยังกลับมาไม่เต็มที่ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเพิ่มมาตรการให้ตรงกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่ม
สำหรับกลุ่มที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย ให้คงการลดอัตราการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำที่ 5% ถึงปี 66 และคงการขยายระยะเวลาชำระหนี้
ของสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลที่ 12 เดือนออกไปอีก 1 ปี ถึงปี 66 ส่วนกลุ่มที่เป็นหนี้เสีย จะปรับปรุงโปรแกรมการจ่ายหนี้ของคลินิกแก้หนี้
โดยเพิ่มทางเลือกการผ่อนชำระเพื่อให้ลูกหนี้ที่ยังมีกำลังชำระสามารถจบหนี้ได้เร็วขึ้น ซึ่งลูกหนี้ที่เลือกแผนการชำระหนี้ที่มีระยะเวลาสั้น จะได้รับดอกเบี้ยที่ผ่อนปรนขึ้น รวมทั้งจะมีการจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สำหรับบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อ จำนำทะเบียน นาโนไฟแนนซ์ ในไตรมาส 3 ของปีนี้ เพื่อเป็นช่องทางเสริม
ให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางสามารถขอรับความช่วยเหลือได้