"สุพัฒน์พงษ์" ยันไม่ถอยดึงค่าการกลั่นอุ้ม "ราคาน้ำมัน"
"สุพัฒน์พงษ์" ยืนยันยังไม่ถอยความคิดในการดึงเงินค่าการกลั่นเพื่อมาอุ้ม "ราคาน้ำมัน" พร้อมชี้แจงประเด็นสำคัญด้านพลังงาน 4 ข้อ หวังประชาชนเข้าใจ
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 14 ที่เพิ่งผ่านไป ได้มีท่านสมาชิกได้อภิปรายประเด็นด้านพลังงานไว้หลายประเด็น ซึ่งผมได้ชี้แจงไปเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2565 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปริมาณไฟฟ้าสำรอง เรื่องค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า เรื่องค่าการกลั่น ค่าการตลาด การอ้างอิงราคา สิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีประเด็นในเรื่องพลังงานอื่นๆ ที่อยากจะเรียนย้ำเพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องดังนี้
1. กรณีที่กล่าวว่าก๊าซในอ่าวแหล่งบงกช-เอราวัณไม่สามารถผลิตได้เลยในปัจจุบัน
ปัจจุบันการผลิตก๊าซธรรมชาติจากทั้งสองแหล่งยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการหยุดผลิตอย่างที่มีการอภิปรายแต่อย่างใด โดยมีการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปัน ผลผลิตอย่างราบรื่น ตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งระดับของกำลังการผลิตจะลดลงตามอายุการใช้งาน และในระยะยาว กระทรวงพลังงานมีนโยบายส่งเสริมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อความมั่นคงเพิ่มเติม โดยการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ จำนวน 3 แปลง ในบริเวณทะเลอ่าวไทย ในปี 2565 มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 35,000 ตารางกิโลเมตร โดยคาดว่าจะได้ผู้รับสิทธิในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดหาก๊าซเพิ่มเติมจากประเทศเพื่อนบ้านในเวลาที่เหมาะสม
2. ประเด็นค่าการกลั่นและการขอรับสนับสนุนจากโรงกลั่น
ค่าการกลั่นมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามตลาด ซึ่งค่าการกลั่นที่สูงอยู่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและช่วงนี้ทั้งค่าการกลั่นและราคาน้ำมันก็เริ่มลดลงแล้ว ส่วนการขอการสนับสนุนจากโรงกลั่นนั้นอยู่ระหว่างดำเนินการให้เป็นไปตามกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัท ในตลาดหลักทรัพย์ (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ก.ค. 2565)
3. ประเด็น LPG
LPG ที่จำหน่ายในภาคครัวเรือนและปิโตรเคมีใช้ราคาในตลาดโลกเช่นเดียวกันตามโครงสร้างปัจจุบัน โรงแยกก๊าซส่งเงินส่วนต่างของราคาตลาดโลกกับต้นทุนโรงแยกที่กำกับโดยรัฐ เข้ากองทุนน้ำมันเพื่อดูแลราคา LPG ให้ประชาชน
4. ประเด็นการลงทุนของบริษัทในเครือ ปตท.
ประเด็นนี้เป็นการตัดสินใจลงทุนของบริษัทเอกชนที่ ปตท. ถือหุ้นอยู่ ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีขั้นตอนการพิจารณาตั้งแต่จากฝ่ายบริหาร กรรมการ รวมถึงผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นกระบวนการตามปกติของบริษัทที่จะพิจารณาความเหมาะสมของการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่สิ่งสำคัญที่อยากเน้นย้ำคือเงินลงทุน 1.4 แสนล้านบาท เพื่อการลงทุนในบริษัท allnex ของ PTTGC เป็นเงินลงทุนของบริษัทเอกชน มิได้เป็นเงินภาษีหรือเงินแผ่นดิน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับท่านนายกฯ หรือผมตามที่อภิปรายแต่อย่างใด
5. การประเมิน Reserve Margin
ขอชี้แจงว่าจะนํากําลังผลิตตามสัญญารวมมาคิดเลยไม่ได้ เนื่องจากในความเป็นจริงโรงไฟฟ้าแต่ละโรงจะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกําลังผลิตพร้อมๆ กันทุกโรงได้ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ ที่ความสามารถในการผลิตจะขึ้นอยู่กับปริมาณแดด ลม และน้ำ ใช้ตัวคูณลดทอนให้เหมาะสมกับสภาพโรงไฟฟ้าแต่ละชนิด หรือที่เรียกว่ากําลังการผลิตที่พึ่งได้ โดยเมื่อประเมินจากโรงไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2565 แล้ว พบว่า มีกําลังการผลิตรวมทั้งสิ้น ประมาณ 45,225 MW ในขณะที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดปี 2565 ที่ 33,177 MW คํานวณ Reserve Margin หรือกําลังการผลิตสํารองได้ประมาณ 36%