ส.อ.ท. เตรียมลดค่าใช้จ่ายรับมือดอกเบี้ยขาขึ้น แนะรัฐออกมาตรการช่วยเหลือ
ผลสำรวจ FTI Poll หัวข้อ “ภาคอุตสาหกรรมจะรับมือกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร” เผยผู้ประกอบการเตรียมปรับการบริหารเงิน แนะรัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
ภายหลังจากการเปิดเผยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย. ที่ระดับ 7.6% ซึ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกจากทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ส่งสัญญาณเตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยไปถึงระดับ 3.4% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้มีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้าเพื่อรักษาส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศไม่ให้ห่างกันจนมากเกินไป จนกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนและค่าเงินบาท
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 19 ในเดือน ก.ค. 2565 ภายใต้หัวข้อ “ภาคอุตสาหกรรมจะรับมือกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. เสนอว่า กรณี ธปท. มีความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ควรพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น รวมทั้งควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากบางธุรกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19
เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan), การสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ มาตรการช่วยเหลือทางภาษีทั่วไปซึ่งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ณ ปี 2566 จะอยู่ที่ระดับ 0.75 – 1.00% เพื่อที่จะรักษาทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย
ในส่วนของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า ถึงแม้การอ่อนค่าของเงินบาทจะช่วยส่งเสริมขีดความสามารถด้านราคาในการส่งออกสินค้าไทย แต่อีกมุมหนึ่งก็ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนพลังงาน สินค้าและวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าปรับตัวสูงขึ้นจนกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งภาครัฐควรให้ความสำคัญในการกำกับดูแลการเคลื่อนไหวค่าเงินบาท และมาตรการป้องปรามหรือจำกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทและภาวะเศรษฐกิจในภาพรวม
โดยส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจควรอยู่ที่ระดับ 32 - 34 บาทต่อดอลลาร์นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังได้แนะให้ผู้ประกอบการทำธุรกรรมทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินบาทที่อ่อนค่า เช่น การซื้อหรือขายเงินสกุลต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) หรือการซื้อสิทธิ์ที่จะซื้อหรือขายเงินสกุลต่างประเทศล่วงหน้า (Option Contract) เป็นต้น
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 209 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 19 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางหลักในการรับมือต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร
อันดับที่ 1 : ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 33.0%
อันดับที่ 2 : เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน และปรับการบริหารกระแสเงินสดใหม่ 19.6%
อันดับที่ 3 : ปรับวิธีการบริหารกระแสเงินสด เช่น กู้ระยะยาว แทนการกู้เงินเบิกเกินบัญชี OD 18.7 %
อันดับที่ 4 : ชะลอการลงทุน 18.7%
อันดับที่ 5 : เปลี่ยนวิธีการลงทุน เช่น ระดมทุนจากผู้ถือหุ้นในบริษัท 7.2%
อันดับที่ 6 : อื่นๆ 2.8%
2. ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร
อันดับที่ 1 : ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป 52.6%
อันดับที่ 2 : มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) 52.2%
อันดับที่ 3 : สนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ และเงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed rate loan) 45.5%
อันดับที่ 4 : มาตรการช่วยเหลือทางภาษีทั่วไป 45.5%
3. คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ณ ปี 2566 จะอยู่ในระดับใด
อันดับที่ 1 : 0.75 - 1.00% 43.5%
อันดับที่ 2 : 1.00 - 1.25% 20.6%
อันดับที่ 3 : คงที่ 0.50% 12.4%
อันดับที่ 4 : 1.25 - 1.50% 7.7%
อันดับที่ 5 : 1.5 - 1.75% 7.2%
อันดับที่ 6 : 1.75 - 2.00% 5.3%
อันดับที่ 7 : มากกว่า 2.00% 3.3%
4. ค่าเงินบาทที่เหมาะสมสำหรับภาคอุตสาหกรรมควรอยู่ในระดับใด
อันดับที่ 1 : 32 - 34 บาท / ดอลลาร์ 44.0%
อันดับที่ 2 : 34 - 36 บาท / ดอลลาร์ 37.8%
อันดับที่ 3 : 30 - 32 บาท / ดอลลาร์ 11.0%
อันดับที่ 4 : 36 - 38 บาท / ดอลลาร์ 6.7%
อันดับที่ 5 : มากกว่า 38 บาท / ดอลลาร์ 0.5%
5. ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางในการลดผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาทอย่างไร
อันดับที่ 1 : ทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน 58.4%
อันดับที่ 2 : เปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบภายในประเทศ 47.4%
อันดับที่ 3 : ขึ้นราคาขายในประเทศเพื่อส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภค 34.9%
อันดับที่ 4 : การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการซื้อขายระหว่างกัน 19.6%
6. ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาทอย่างไร
อันดับที่ 1 : กำกับดูแลการเคลื่อนไหวค่าเงินบาท และมาตรการป้องปราม หรือจำกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท 63.2%
อันดับที่ 2 : ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบและสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ 52.2%
อันดับที่ 3 : มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) 43.1%
อันดับที่ 4 : ปรับเพดานราคาสินค้าควบคุมให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 32.5%
7. ปัจจัยที่ควรนำมาเป็นเหตุผลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
อันดับที่ 1 : รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท 72.2%
อันดับที่ 2 : ชะลอการไหลออกของเงินทุน และดึงดูดผู้ลงทุนต่างประเทศ 52.2%
อันดับที่ 3 : รักษาเสถียรภาพอัตราเงินเฟ้อฝังลึก (Entrenched Inflation expectation) เช่น การปรับขึ้นราคาสินค้าล่วงหน้าเนื่องจากการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับขึ้น 38.8%
อันดับที่ 4 : ลดพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง 29.7%