‘บล.โกลเบล็ก’ลุ้นทองคัมแบ็ค แนะจับตาจีน-สหรัฐ-ไต้หวัน !
กรณีที่ !“แนนซี เพโลซี” ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเยือนไต้หวันจริง เรียกได้ว่าเป็นประเด็นร้อนแรงระดับโลกทันที และอยู่ในความสนใจของใครหลายคนทั่วโลก สำหรับความตึงเครียดระหว่าง“สหรัฐ-จีน”ที่จะเกิดขึ้นต่อไป...
ดังนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง “หุ้น” หรือ “คริปโทเคอร์เรนซี”ตกอยู่ในความเปราะบางและมีความผันผวนจากประเด็นดังกล่าว !
และหากความตึงเครียดเพิ่มระดับความรุนแรง ! สินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” คือ หลุมหลบภัยชั้นดีของเหล่านักลงทุนที่พร้อมโยกย้าย “เม็ดเงินลงทุน”เข้ามาพักไว้ในทองคำก่อน...
“ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)โกลเบล็ก (GBS)เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ” ฟังว่า ประเด็นความขัดแย้งระหว่าง “จีน-สหรัฐ-ไต้หวัน” ที่ปัจจุบันกำลังตกอยู่ในภาวะ “อึมครึม” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกของสินทรัพย์อย่างทองคำ ซึ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หากความขัดแย้งมีความเคลือบหน้าหรือรุนแรง ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนต้องการ ดังนั้น ส่งผลให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นมาระดับสูงได้
ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ แนวโน้มราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ตลาดทองคำเริ่มรับรู้ข่าวร้ายไปแล้ว ทั้งเรื่อง “ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน” (CPI) ที่ออกมากันหลายประเทศแล้ว “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ที่ลากยาวและยืดเยื้อ และ “อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น” ซึ่งถือเป็นปัจจัยกดดันจากทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยในเดือนส.ค. นี้
สะท้อนผ่านตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ในไตรมาส 2 ปี 2565 ของสหรัฐที่ประกาศออกมา “ติดลบ” ต่อกับถึง 2 ไตรมาสแล้วมาอยู่ที่ระดับ -0.9% ทำให้ในระยะถัดไปมีโอกาสมากขึ้นที่ทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย จากเดิมที่คาดการณ์ขึ้น 0.75-1% แต่เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยมีโอกาสให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่รุนแรงในเพดานระหว่าง 0.50% หรือสูงสุด 0.75%
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ของสหรัฐทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 2.66% สะท้อนถึงตลาดกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้แนวโน้มของตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐอาจจะทยอยปรับตัวลดลง
ดังนั้นฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาทองคำในช่วงเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ได้ปรับตัวตอบรับข่าวร้ายไปแล้ว อีกทั้งแนวโน้มตัวเลขเศรษฐกิจอาจหดตัวได้ ทำให้ทองคำอาจมีแรงซื้อกลับ คำแนะนำซื้อขายในกรอบ 1,700-1,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่หลุดแนวรับ 1,735 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนำทยอยเข้า “ซื้อสะสม” ได้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ถือทองคำราคาในประเทศปีนี้ถือเป็นปีที่ดี เนื่องจากราคาทองคำในประเทศปรับตัวขึ้นจากช่วงต้นปีประมาณ 5% เป็นไปตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจากต้นปีมาประมาณ 9% และในปีนี้ทิศทางค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง
“ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัว ถือเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อเฟดในการประชุมครั้งต่อไป และส่งผลดีต่อทองคำให้ราคามีโอกาสขยับและปรับตัวขึ้นได้ หลังทิศทางเฟดต้องไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง”
ท้ายสุด “ณัฐวุฒิ” บอกไว้ว่า ในระยะยาว 6 เดือนข้างหน้า หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็จะถือเป็นปัจจัยหนุนให้ทองคำกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง รวมทั้งประเด็นความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐ-ไต้หวัน ซึ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ซึ่งถือเป็นประเด็นบวกต่อราคาทองคำทันทีหากรุนแรง