ผ่าอาณาจักร Reliance Industries ยักษ์ใหญ่อินเดีย มูลค่าสูงกว่า CP ถึง 7 เท่า!
เปิดอาณาจักร “Reliance Industries” ที่ใหญ่ครอบจักรวาล เกี่ยวพันวิถีชีวิตชาวอินเดียทุกช่วงวัย อาณาจักรนี้ประกอบธุรกิจอะไร จนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในอินเดียและใหญ่กว่า CP กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของไทย ถึง 7 เท่า
Key Points
- เมื่อนำมูลค่าบริษัททั้ง 4 ในเครือ CP Group มารวมกัน เท่ากับมูลค่าสูงถึงราว 1 ล้านล้านบาท แต่นั่นยังไม่เท่าอาณาจักร “Reliance Industries” ที่มีมูลค่าราว 7 ล้านล้านบาท
- อาณาจักร Reliance Industries มี 6 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจพลังงาน ปิโตรเคมี ร้านค้าปลีก บริการทางดิจิทัล สื่อ และพลังงานทางเลือก
- ปี 2566 Reliance Industries มีรายได้ 105,390 ล้านดอลลาร์ และกำไรสุทธิ 11,890 ล้านดอลลาร์
ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ “Reliance Industries” (รีไลแอนซ์ อินดัสทรีส์) ถือเป็นเจ้าของธุรกิจครอบจักรวาลของอินเดีย ที่ทำตั้งแต่ธุรกิจพลังงาน ขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเคมี สื่อสารโทรคมนาคม ช่องรายการนับพันช่อง ภาพยนตร์ ร้านค้าปลีก สิ่งทอ ฯลฯ เรียกได้ว่าแทบไม่มีชาวอินเดียคนไหนไม่เคยใช้บริการบริษัทนี้
ถ้าถามว่า Reliance Industries ใหญ่ขนาดไหน ให้ลองนึกถึงอาณาจักร CP หรือเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ที่มีบริษัทลูก 4 แห่งอยู่ในตลาดหุ้นไทย โดยเรียงตามมูลค่าตลาดมากที่สุดไปน้อยที่สุด ณ วันที่ 18 ธ.ค. 2566 ได้ดังต่อไปนี้
1. ซีพี ออลล์ (CPALL) เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-11 มูลค่า 485,000 ล้านบาท
2. ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) ประกอบธุรกิจค้าส่งภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” มูลค่า 277,733 ล้านบาท
3. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ประกอบธุรกิจโทรคมนาคม มูลค่า 177,943 ล้านบาท
4. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เจ้าของธุรกิจอาหารเลี้ยงสัตว์ มูลค่า 156,492 ล้านบาท
เมื่อนำมูลค่าบริษัททั้ง 4 ในเครือ CP มารวมกัน จะเท่ากับมูลค่าสูงถึงราว 1 ล้านล้านบาท แต่นั่นยังไม่เท่าอาณาจักร “Reliance Industries” ที่มีมูลค่า 203,130 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7 ล้านล้านบาท เรียกได้ว่า ใหญ่กว่าอาณาจักร CP ถึง 7 เท่า
สำหรับเจ้าของอาณาจักร Reliance Industries นี้คือ มูเกช อัมบานี (Mukesh Ambani) มหาเศรษฐีที่ “รวยที่สุด” ในเอเชีย ด้วยมูลค่าความมั่งคั่งกว่า 99,300 ล้านดอลลาร์หรือราว 3.4 ล้านล้านบาท ตามข้อมูลจากนิตยสาร Forbes
ยิ่ง “ตลาดหุ้นอินเดีย” ขึ้นมามีมูลค่าทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 140 ล้านล้านบาท เป็นครั้งแรก “แซงหน้า” มูลค่าตลาดหุ้นฮ่องกงซึ่งอยู่ที่ราว 3.984 ล้านล้านดอลลาร์ Reliance Industries จึงเป็นที่น่าจับตาสำหรับนักลงทุนทั่วโลกว่า ประกอบธุรกิจอะไรบ้าง ถึงขึ้นมายิ่งใหญ่เพียงนี้
Reliance Industries ทำธุรกิจอะไรบ้าง
สำหรับอาณาจักรของกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่แห่งอินเดียนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 6 ธุรกิจหลัก ดังนี้
- 1. ธุรกิจพลังงาน (Energy)
บริษัทมีธุรกิจด้านการสำรวจ ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากใต้ทะเลลึกของอินเดีย โดยในปี 2545-2546 บริษัทค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติสำรองในแอ่ง Krishna Godavari, KG D6 Block ของเมืองกากินาดา ซึ่งช่วยให้ประเทศมีความมั่นคงทางพลังงานเพิ่มมากขึ้น
เท่านั้นยังไม่พอ Reliance Industries ยังเป็นหุ้นส่วนกับ BP บริษัทค้าพลังงานยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ จนกลายเป็นบริษัท Jio-bp ขึ้นมา ทำธุรกิจด้านพลังงานและปั๊มน้ำมันในอินเดียในชื่อว่า Jio-bp เช่นกัน
- การสำรวจแหล่งพลังงานของ Reliance Industries (เครดิต: Reliance Industries) -
- 2. ธุรกิจปิโตรเคมี (Petrochemicals)
ตั้งแต่กันชนรถยนต์ ถังน้ำ ขวดพลาสติก หูฟัง เครื่องนุ่งห่ม ท่อยาง ลูกฟุตบอล ผงซักฟอก แชมพู ขวดนมเด็ก ฯลฯ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนมาจากส่วนผสมทางปิโตรเคมี ที่นำปิโตรเลียมอย่างน้ำมันและก๊าซที่ขุดเจาะ ผ่านกระบวนการทางเคมี ความร้อนและความดันจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางเคมีขึ้นมา โดย Reliance Industries ผลิตสารที่จำเป็นเหล่านี้และเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก
- 3. ธุรกิจร้านค้าปลีก (Retail)
นอกจากเป็นยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานแล้ว บริษัทยังเป็นเจ้าของร้านค้าปลีกมากกว่า 18,650 แห่ง มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในอินเดีย โดยสินค้าที่จำหน่าย ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในชื่อร้าน Reliance Digital และ MyJio, สินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์, สินค้าของชำ, สินค้าแบรนด์หรู โดยร่วมมือกับ 60 แบรนด์หรูดัง อย่าง ARMANI, BALLY, VERSACE ฯลฯ
- ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Reliance Digital (เครดิต: Reliance) -
อีกทั้งให้บริการ Netmeds เชนร้านขายยาและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้บริการด้านความงาม การซื้อขายยา และอุปกรณ์สุขภาพ
- 4. ธุรกิจให้บริการทางดิจิทัล (Digital Services)
บริษัทแกนหลักในเครือ Reliance Industries ที่ให้บริการด้านนี้คือ บริษัท “Jio” ซึ่งสามารถแตกย่อยเป็น JioTV บริการโทรทัศน์แบบสตรีมมิ่งของอินเดีย มีเครือข่ายโทรทัศน์มากกว่า 1,000 ช่อง, JioNews ให้บริการข่าวและความบันเทิงของอินเดีย, JioAirFiber บริการเครือข่ายไร้สาย 5G, JioCinema บริการภาพยนตร์อินเดียและสากล ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Reliance Industries กับบริษัทสื่อข้ามชาติสหรัฐ Paramount Global, JioCloud บริการด้านคลาวด์, JioDive ให้บริการประสบการณ์ด้านโลกเสมือน (VR) ฯลฯ
- Reliance Industries รุกด้านดิจิทัล (เครดิต: Jio) -
- 5. ธุรกิจด้านสื่อและความบันเทิง (Media & Entertainment)
“Network18 Group” เป็นบริษัทแกนกลางในเครือ Reliance Industries ที่ให้บริการด้านนี้ โดยเป็นเจ้าของช่องสื่อต่าง ๆ อาทิ TV18, Web18, Colors TV, Nickelodeon, Comedy Central, VH1, MTV ฯลฯ รวมถึงยังร่วมมือทางธุรกิจกับสื่อของสหรัฐ จนได้สิทธิ์บริหารช่อง CNBC TV18, History TV18 และนิตยสาร Forbes India
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทเป็นเจ้าของ Jio Studios ที่สร้างสรรค์ภาพยนตร์อินเดียชื่อดังต่าง ๆ เช่น Zara Hatke Zara Bachke, Dunki, Luka Chuppi, Ramprasad Ki Tehrvi ฯลฯ
- Luka Chuppi หนังบอลลีวู้ดแห่งอินเดีย คู่แข่งหนังฮอลลีวู้ดของสหรัฐ (เครดิต: Jio) -
- 6. ธุรกิจด้านพลังงานใหม่ (New Energy)
แม้ว่าบริษัทจะประกอบธุรกิจด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ซึ่งค่อนข้างส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่บริษัทตั้งเป้าหมายว่า จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2578 และสิ่งที่จะทำให้ไปถึงจุดนั้นได้ คือ พลังงานใหม่อย่าง “พลังงานสีเขียว”
ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงบุกเบิกธุรกิจด้านโรงงานผลิตไฟฟ้าสำหรับแท่นชาร์จรถไฟฟ้า (EV), แผงโซลาร์เซลล์, แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน, พลังงานลม, พลังงานไฮโดรเจน ฯลฯ ถือได้ว่าไม่ตกกระแสเกือบทุกพลังงานทางเลือกล้วนต้องมี Reliance Industries เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย
จะเห็นได้ว่า ธุรกิจด้านต่าง ๆ เหล่านี้สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ทางอาณาจักร Reliance Industries ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง
ในส่วน “รายได้” และ “กำไรสุทธิ” ของ Reliance Industries ตามข้อมูลของเว็บไซต์ Companies Market Cap พบว่ามีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกปีในช่วง 4 ปีหลังสุด ดังนี้
ปี 2566 รายได้ 105,390 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 11,890 ล้านดอลลาร์
ปี 2565 รายได้ 109,620 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 11,690 ล้านดอลลาร์
ปี 2564 รายได้ 86,610 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 10,530 ล้านดอลลาร์
ปี 2563 รายได้ 60,980 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 6,490 ล้านดอลลาร์
นี่จึงเป็นบริษัทที่โดดเด่นในอินเดีย และมีส่วนช่วยพาตลาดหุ้นอินเดียโดยรวมมีมูลค่าทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 140 ล้านล้านบาทเป็นครั้งแรก จน “แซงหน้า” มูลค่าตลาดหุ้นฮ่องกงซึ่งอยู่ที่ราว 3.984 ล้านล้านดอลลาร์
อีกทั้ง “อินเดีย” ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก แซงหน้า “จีน” อย่างเป็นทางการแล้วที่ 1,428 ล้านคน และจากเดิมที่เคยถูกมองว่าเป็นประเทศยากจน ปัจจุบันก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มชนชั้นกลาง
ข้อมูลจาก World Data Lab คาดการณ์ว่า “อัตราการเติบโต” ของชนชั้นกลางอินเดียจะอยู่ที่ระดับ 8.5% ไปจนถึงปี 2573 จนทำให้อินเดียมีจำนวนชนชั้นกลางมากกว่า 800 ล้านคน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้สามารถเป็นกำลังซื้อสำคัญสำหรับบรรดาบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนได้
เท่านั้นยังไม่พอ อินเดียยังมีประชากรวัยหนุ่มสาวมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยข้อมูลจากสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ประมาณ 66% (กว่า 808 ล้านคน) ของประชากรทั้งประเทศ มีอายุต่ำกว่า 35 ปี ซึ่งแรงงานหนุ่มสาวที่ขยายตัวนี้เป็นผลดีต่อโรงงานต่างชาติ ในด้านประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานเมื่อเทียบกับแรงงานที่อายุมากกว่า และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเติบโตของอาณาจักร Reliance Industries ที่ใหญ่กว่า CP ถึง 7 เท่านี้
อ้างอิง: set, กรุงเทพธุรกิจ, cnbc, ril, jio, companies, netmeds, forbes, forbes(2)