กระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลอย่ารอ 'เงินดิจิทัล'
เป็นที่แน่นอนแล้วว่านโยบายการแจกเงินดิจิทัลยังไม่เห็นอนาคต ในตอนนี้รัฐบาลและกระทรวงการคลังจำเป็นที่จะต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ออกมาเร็วที่สุด
เป็นที่แน่นอนแล้วว่านโยบายการแจกเงินดิจิทัลยังไม่เห็นอนาคต หลังจากนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับว่าไม่สามารถดำเนินการแจกได้ตามที่กำหนดไว้ในเดือน พ.ค.2567 โดยที่ผ่านมามีความไม่แน่นอนของโครงการนี้อย่างมากหลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2566 ที่จะให้โครงการแจกเงินดิจิทัลเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศ
เดิมทีรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะแจกเงินดิจิทัลให้กับคนไทยที่มีอายุ 16 ปี ขึ้นไปทุกคน รวมวงเงินไม่น้อยกว่า 500,000 ล้านบาท โดยที่มาของงบประมาณจะมาจากการเกลี่ยงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งจะมีการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นหรือรายจ่ายสวัสดิการประชาชนที่ซ้ำซ้อนออกไป รวมทั้งมีความคาดหวังตั้งงบประมาณจากรายได้ของรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้นจากโครงการแจกเงินดิจิทัล โดยเฉพาะรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ที่จะจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นจากเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ในช่วงหลังรัฐบาลเริ่มเห็นอุปสรรคในการดำเนินการโครงการนี้ โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ต้องออก พ.ร.ก.กู้เงิน 560,000 ล้านบาท ที่ยังมีข้อโต้แย้งทางกฎหมาย รวมถึงมีการเสนอความเห็นของความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของการใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล และทำให้รัฐบาลต้องเลื่อนการแจกเงินออกไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งทำให้เครื่องมือที่รัฐบาลคาดหวังให้การแจกเงินดิจิทัลช่วยผลักดันเศรษฐกิจปี 2567 ริบหรี่ลงไป และจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องมีกลไกตัวใหม่เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
ก่อนหน้านี้รัฐบาลประกาศที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อดำเนินการในช่วงที่รอการแจกเงินดิจิทัลในเดือน พ.ค.2567 แต่เมื่อการแจกเงินดิจิทัลเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ทำให้มาตรการระยะสั้นที่รัฐบาลจะนำมาใช้ชั่วคราวประมาณ 3 เดือน อาจจะต้องจัดทำมาตรการที่มีน้ำหนักเข้มข้นมากขึ้น บนสมมติฐานที่รัฐบาลไม่สามารถแจกเงินดิจิทัลได้ โดยรัฐบาลและกระทรวงการคลังจำเป็นที่จะต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ออกมาเร็วที่สุด
กำลังซื้อเป็นอีกประเด็นที่รัฐบาลต้องเร่งหาทางกระตุ้น โดยหาวิธีที่จะผลักดันเงินให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้ได้เร็วที่สุดเพื่อผลักดันการบริโภค ในขณะเดียวกันการเบิกจ่ายงบประมาณเป็นอีกเครื่องมือในการผลักดันงบเข้าระบบเศรษฐกิจ ซึ่งงบประมาณปี 2567 จะมีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ค.2567 ช้าไปจากกำหนด 6-7 เดือน เป็นโจทย์ที่รัฐบาลรู้อยู่แล้ว จึงอยู่ที่รัฐบาลจะเร่งตัดสินใจออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร