รัฐบาลอย่าฝากความหวัง ฟื้นเศรษฐกิจไว้ที่เงินดิจิทัล
รัฐบาลรับทราบดีอยู่แล้วว่าการแจกเงินดิจิทัลยังไม่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยปี 2567 ดังนั้นช่วงเวลาที่เหลือเกือบ 8 เดือน รัฐบาลต้องมีแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะแนวทางที่ดำเนินการได้ทันที
รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ได้หวังให้โครงการแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท รวม 50 ล้านคน ภายในวงเงิน 560,000 ล้านบาท เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญ โดยในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 11 ก.ย.2566 นายเศรษฐา ได้ชี้แจงต่อรัฐสภาว่า นโยบายนี้จะจุดชนวนกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งจะทำให้ประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ เปิดประตูให้ภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุนใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใส ให้กับกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจและรัฐบาล
การดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมามีอุปสรรคสำคัญอยู่ที่การจัดสรรงบประมาณเพื่อแจกประชาชน โดยเริ่มแรกรัฐบาลยืนยันที่จะจัดสรรจากงบประมาณและรายได้ของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจากการจัดเก็บภาษีหลังการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต่อมารัฐบาลได้ยกร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน ซึ่งได้รับการทักท้วงจากหลายหน่วยงาน ซึ่งทำให้ปัจจุบันหันกลับมาใช้วิธีจัดสรรงบประมาณปี 2567 ที่ไม่สามารถใช้ได้หมด รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี 2568 ขาดดุลมากขึ้นเพื่อนำมาแจกประชาชน
รัฐบาลคาดหวังว่าจะดำเนินการแจกเงินดิจิทัลได้ในไตรมาส 4 ปี 2567 ดังนั้นการแจกเงินที่ล่าช้าไปกว่าแผนเดิมที่กำหนดไว้ในเดือน ก.พ.2567 จึงทำให้นโยบายการแจกเงินดิจิทัลยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจปี 2567 ในทันที และช่วงที่ผ่านมาหลายหน่วยงานได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ลดประมาณการเศรษฐกิจจากเดิมขยายตัว 2.7-3.7% เหลือเพียง 2.2-3.2% และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดจาก 3.2% เหลือ 2.5-3.0%
ความคาดหวังของเศรษฐกิจไทยปี 2567 นอกจากการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ และการท่องเที่ยวที่อยู่ในทิศทางขยายตัว ทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีความหวังอยู่ที่การเบิกจ่ายงบประมาณรัฐ ซึ่งเหลือระยะเวลาการใช้จ่ายงบประมาณเพียง 5-6 เดือน จึงอาจเป็นแรงผลักดันเศรษฐกิจได้ไม่มากอย่างที่ต้องการ ในขณะที่การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ 2566 ที่ค้างท่อ รวมถึงการเร่งการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้รับการผลักดันจากรัฐบาลอย่างเต็มที่มากนัก
รัฐบาลรับทราบดีอยู่แล้วว่าการแจกเงินดิจิทัลยังไม่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยปี 2567 ดังนั้นช่วงเวลาที่เหลือเกือบ 8 เดือน หวังว่ารัฐบาลคงมีแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะแนวทางที่ดำเนินการได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นที่เร่งรัดการลงทุนกับผู้ที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน เนื่องจากบริษัทที่นายกรัฐมนตรีไปดึงมาลงทุนยังไม่มีผลต่อเศรษฐกิจในปีนี้ทันที แต่บริษัทที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้วถือว่ามีความพร้อมลงทุนทันที รวมถึงการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าที่ต้องรักษาระดับการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมาย