ยุคมืด ‘เศรษฐกิจไทย’
การบริหารประเทศของรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ คลังสมองของประเทศ กำลังถูกตั้งคำถามว่า “จะเอาวิกฤติครั้งนี้อยู่หรือไม่” หรือเรากำลังอยู่ใน “ยุคมืดของเศรษฐกิจไทย”
พูดกันให้สนั่นเมืองตอนนี้ หนีไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจไทยที่วิกฤติลงทุกวัน ข้าวของแพง ราคาพลังงานซึ่งเป็นต้นทุนของทุกสรรพสิ่งก็แพงระยับ มูลค่าเงินในกระเป๋าลดลง คนทำงานหาเช้ากินค่ำลำบาก ธุรกิจเล็ก กลาง ใหญ่ เผชิญชะตากรรมเดียวกันจากกำลังซื้อลด บรรยากาศจับจ่ายไม่คึกคัก
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐเตรียมไว้อย่าง “ดิจิทัล วอลเล็ต” ไม่รู้ว่าจะช่วยได้จริงไหม แลกกับการที่ประเทศเป็นหนี้สินรุงรังเพิ่ม ยังไม่นับรวมเรื่องทุจริตระหว่างทาง ถ้าไม่เกิดขึ้นก็ดี แต่ถ้าเกิดขึ้นจะกลายเป็นมาตรการที่ไม่ได้แก้ปัญหา แต่กลับยิ่งสร้างปัญหาให้ระบบเศรษฐกิจประเทศวอดวายหนักเข้าไปอีก
วันนี้ ธุรกิจกำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะหมุนเงินให้ทันแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละไตรมาสได้อย่างไร เราจึงเห็นการปิดตัวของธุรกิจ ร้านค้า ร้านอาหารทยอยปิดตัวลง โดยเฉพาะธุรกิจ “เอสเอ็มอี” ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของประเทศกำลังจะ “ตาย”
ข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. พบว่า ปี 2566 สัญญาณเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อเอสเอ็มอีภาคผลิตและการจ้างงานลดจำนวนลง ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย เดือนพ.ค.2567 รายภูมิภาค “ติดลบ” ทั้งหมด ภาคเหนือ -1.6 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ -1.4 ภาคตะวันออก -2.5 ภาคกลาง -1.8 กรุงเทพฯ และปริมณฑล -1.7 และภาคใต้ -1.5 และทุกภาคธุรกิจติดลบเช่นกัน คือ ภาคการผลิต -0.6 ภาคการค้า -1.5 ภาคการบริการ -2.6 และภาคธุรกิจการเกษตร -1.5
เอสเอ็มอีไทย ยังต้องเผชิญชะตากรรมจากโลกที่เปลี่ยน โดยเฉพาะโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์จากสันดาปภายใน (ICE) เป็นไฟฟ้า (EV) ผลกระทบจากการย้ายฐานของ ICE รวมไปถึงอุตสาหกรรมก่อสร้างและธุรกิจเกี่ยวเนื่องถูกวิกฤติกระหน่ำ
จากปัญหาหนี้เสียจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย ส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยขนาดเล็ก วันนี้ธุรกิจอสังหาฯ สถานการณ์ไม่ค่อยดี หนักหน่วง เผชิญกับห้วงเวลาที่ยากลำบาก หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น คนผ่อนบ้าน ผ่อนรถกระอัก อำนาจจับจ่ายใช้สอยของประชาชนอ่อนแอลง รวมถึงการซื้ออสังหาริมทรัพย์ลดลงอย่างชัดเจน
ข้อมูลในภาคอสังหาฯ ระบุว่า ยอดขายใหม่ร่วงติดต่อกัน 5 ไตรมาส ขณะที่จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลก็ “ลดลง” จากแบงก์เข้มปล่อยกู้มากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย ยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ให้บุคคลทั่วไปไตรมาส 1 ปี 2567 ลดลง 20.5% สะท้อนออกมาว่าปัจจุบันมีการปฏิเสธสินเชื่อสูงกว่า 50% เลยทีเดียว
ข้อมูลเชิงลบเหล่านี้ ปรากฏสู่สาธารณะมากขึ้น สะท้อนถึงการบริหารประเทศของรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ คลังสมองของประเทศ ที่กำลังถูกตั้งคำถามว่า “จะเอาวิกฤติครั้งนี้อยู่หรือไม่” หรือเรากำลังอยู่ใน “ยุคมืดของเศรษฐกิจไทย” ที่ยังมองไม่เห็นแสงสว่างปลายที่ปลายอุโมงค์ ..อย่ากระนั้นเลยเรากำลังรอดูยุทธศาสตร์แก้วิกฤติที่ชาญฉลาดจาก “รัฐบาลเศรษฐา” อย่างใจจดใจจ่อ