‘พิชัย’ เซ็น MOU ไทย-สหราชอาณาจักร ยกระดับหุ้นส่วนการค้าอุตสาหกรรม
"พิชัย" ลงนาม MOU ก้าวสำคัญทางการค้า “ไทยกับสหราชอาณาจักร” ยกระดับการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าในอุตสาหกรรม 20 สาขา พร้อมเดินหน้าเจรจาจัดทำ FTA ร่วมกัน
18 ก.ย.2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือกับนายดักลาส อเล็กซานเดอร์ (The Rt Hon Douglas Alexander) รัฐมนตรีการค้าของสหราชอาณาจักร รวมทั้งได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ที่โรงแรมคอร์ทยาร์ด บาย แมริออท กรุงเทพฯ
นายพิชัย กล่าวว่า “การพบหารือในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าของไทยกับสหราชอาณาจักร โดยผมกับท่านรัฐมนตรีดักลาส ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น (Enhanced Trade Partnership: ETP) และรับรองแผนปฏิบัติการที่ระบุถึงกิจกรรมความร่วมมือที่สองฝ่ายจะดำเนินร่วมกันใน 20 สาขาสำคัญ อาทิ เกษตร อาหาร ดิจิทัล การศึกษา การท่องเที่ยว ทั้งนี้ การลงนามในวันนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นในระดับการเมืองของทั้งสองฝ่ายที่จะขยายความร่วมมือในเรื่องการค้าและการลงทุนอย่างรอบด้าน ทั้งในเวทีสองฝ่ายและในเวทีระหว่างประเทศ โดยจะเป็นประโยชน์ต่อไทยในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในสาขาที่สหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะประเด็นการค้าใหม่ ๆ เช่น การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล การพัฒนาอย่างยั่งยืน บริการทางการเงิน การแข่งขัน และการท่องเที่ยว รวมถึงการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนต่อภาคธุรกิจ ตลอดจนยังจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเจรจาเอฟทีเอระหว่างกันในอนาคตด้วย”
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือความเป็นไปได้ในการเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร ซึ่งภาคธุรกิจของทั้งสองฝ่ายก็สนับสนุนการเริ่มเจรจาดังกล่าวอย่างต่อเนื่องการขยายการค้าระหว่างกัน ผ่านการจับคู่เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะในสินค้าศักยภาพของไทย เช่น ไก่แปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วน จักรยานยนต์และชิ้นส่วน และเครื่องจักรกล รวมทั้งได้เชิญชวนให้นักธุรกิจสหราชอาณาจักรมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งจะช่วยปรับโครงสร้างการส่งออกของไทยให้ทันสมัย เพิ่มการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการจ้างงาน
สหราชอาณาจักรเป็นคู่ค้าอันดับ 22 ของไทยในตลาดโลก และเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยในภูมิภาคยุโรป (รองจากเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์) ในปี 2566 มีมูลค่าการค้ารวมระหว่างกัน 6,740.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 1,405.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าการส่งออกรวม 4,073.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ไก่แปรรูป รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และอากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ ขณะที่มีมูลค่าการนำเข้ารวม 2,667.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์