“พนม ควรสถาพร” เถ้าแก่ AGE สอนลูกทั้ง 6 “ทำงาน & ทำเงิน”

“พนม ควรสถาพร” เถ้าแก่ AGE สอนลูกทั้ง 6 “ทำงาน & ทำเงิน”

“วันหนึ่งลูกต้องทำงานสร้างเงินแทนพ่อ” ประโยคฝังหัว “ฝน”ปณิตา ควรสถาพร” ทายาทคนโตวัย 27 ปี ของ“พนม ควรสถาพร”เจ้าของ AGE "3 ปี ยอดขายหมื่นล."

ครั้งหนึ่ง “ซีอีโอไร้ปริญญา" “พนม ควรสถาพร” ในฐานะเถ้าแก่ “เอเชีย กรีน เอนเนอจี” (AGE) ผู้นำเข้าและจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) เคย “ป่าวประกาศ” อยากเป็น “บ้านปูมินิ” ด้วยการเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินดีๆสัก 2-3 แห่ง เพื่อเป้าหมายยอดขาย 1 หมื่นล้านบาทภายในปี 2558 แต่ฝันหวานไม่นาน “วิมานดิน” ต้องล่มสลาย เมื่อโดน 2 มรสุม “รุมเร้า”

“มรสุมแรก” ราคาถ่านหินโลกวูบลงต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ความต้องการหด ในขณะที่ปริมาณถ่านหินล้นตลาด “มรสุมที่สอง” ชาวบ้านประท้วงให้หยุดการขนถ่ายถ่านหินทุกประเภทในทะเลปากอ่าวสมุทรสาคร และแม่น้ำท่าจีน ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผลประกอบการในปี 2555 ขาดทุนสุทธิ 24 ล้านบาท

“3 ปีข้างหน้า ยอดขายเหยียบหมื่นล้านบาท” เป้าหมายนี้ “ชายวัย 62 ปี ยังคงยืนยันคำเดิม “เราต้องทำให้ได้” โดยเขาเริ่มส่งทายาทเข้ามาเสริมทัพ อย่าง “ฝน” ปณิตา ควรสถาพร ทายาทคนโตวัย 27 ปี และ “เฟิร์น” ธิญาดา ควรสถาพร ลูกสาวคนรองวัย 26 ปี ปัจจุบัน “ฝน” เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ได้เรียนรู้ระบบการทำงานทั้งหมดของบริษัท ส่วน “ลูกคนรอง” พนมให้นั่งในตำแหน่ง “รองกรรมการผู้จัดการ” บริษัทในเครือ “เอเชียไบโอแมส” ผู้ประกอบการนำเข้าและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวมวล โดยหวังให้ทั้ง 2 "สืบทายาทรุ่น 3"

“พนม” มีลูกทั้งหมด 6 คน คนที่ 3 อายุ 23 ปี “ฝ้าย” พิมญาดา ควรสถาพร คนที่ 4 “ฟ้า” พิมชญา ควรสถาพร อายุ 19 ปี “เฟร์น” อธิภัทร ควรสถาพร วัย 16 ปี และ “ฟลุ๊ค” ด.ช.ณฐภัทร ควรสถาพร วัย 14 ปี

“กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” นัดเจอ “คู่พ่อลูก” พนมกับทายาทคนแรก เพื่อให้บอกเล่าวิสัยทัศน์ต่างๆ

“ฝน” เดินจ้ำอ้าวนำหน้าคุณพ่อ ก่อนนั่งลงย้อนประวัติชีวิตสั้นๆให้ฟังว่า หลังจากเรียนจบปริญญาตรี คณะบัญชีบริหาร มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ก็ไปเรียนต่อปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ University of Technology, Sydney, Australia ตอนเรียนที่โน่นฝนทำงานไปด้วย เพราะอยากหาประสบการณ์ คุณพ่อจะให้เงินมาเป็นก้อนหนึ่งให้ไปบริหารจัดการเอาเอง พ่อจะบอกเสมอว่า “ถ้าลูกใช้เงินฟุ่มเฟือย วันข้างหน้าจะแย่” ตั้งแต่จำความได้พ่อมักสอนลูกๆทุกคนให้รู้จักออมเงิน ท่านจะซื้อกระปุกออมสินมาให้ เราทุกคนจะหยอดเงินทุกวัน พอถึงวันตรุษจีนก็จะเอากระปุกมาทุบแล้วนั่งนับเงินว่ามีกี่บาท แล้วพวกเราก็จะมาบอกพ่อว่าเก็บเงินได้กี่บาท เมื่อนำมารวมกับ “แต๊ะเอีย” แล้วได้เท่าไร

จากนั้นท่านจะสมทบเงินให้ลูกๆอีกเท่าตัว เรา 6 คน ก็จะนำเงินไปฝากธนาคาร ฝนมองว่า วิธีการออมเงินลักษณะนี้ “เวิร์คมาก” สำหรับเด็กๆ ทำให้เราเห็นคุณค่าของเงิน และรู้จักวิธีคิด ฝนออมเงินจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พอโตขึ้นก็เอามาเก็บไว้ในประเป๋าตัวเองแทน (หัวเราะ) พ่อเตือนเสมอว่า “เงินทองไม่ได้หากันมาง่ายๆ คุณลองไปทำงานดูสิ จะได้รู้ว่าเงินกว่าจะหามาได้ลำบากแค่ไหน” “พนม” เสริมว่า เมื่อก่อนเคยเห็นเด็กบางคนใช้เงินเก่งมาก “คนไม่ได้หามักจะใช้เก่งเป็นธรรมดา ส่วนคนหามักจะไม่ค่อยได้ใช้เงิน”

เธอพูดต่อว่า เมื่อโตขึ้นเริ่มรู้สึกอยากออมเงินในลักษณะการลงทุน เริ่มแรกคุณพ่อจะให้เงินมา 1 ก้อน (ไม่ยอมบอกตัวเลข) มีข้อแม้ว่าต้องจ่ายดอกเบี้ยคืนท่านทุกปี วิธีนี้ถือเป็นการสร้างวินัยที่ดีทางหนึ่ง (ยิ้ม) “น้องเฟิร์น” เขาก็ลงทุน แต่ขานั้นชอบอสังหาริมทรัพย์ เขาก็ผ่อนเงินคืนคุณพ่อเหมือนกัน

ตอนนั้นฝนนำเงินครึ่งหนึ่งนำไปลงทุนซื้อทองคำแท่ง ถามว่าทำไมถึงซื้อทองคำ? “มูลค่าไม่เคยลดลง” นี่ละคำตอบ อีกส่วนหนึ่งนำไปลงทุนในตลาดหุ้น พอร์ตน่าจะหลักล้านบาท ยังไม่มากเท่าไรเพิ่งมือใหม่ เธอบอก วิธีเลือกหุ้นเน้นดูอุตสาหกรรมเป็นหลัก ยกตัวอย่างหุ้นที่โดนผลกระทบจากน้ำท่วมกรุงเทพฯปลายปี 2554 จะกลับมาในปี 2555 หรือหุ้นที่ได้ผลดีจากภาษีรถยนต์คันแรก บ้านหลักแรก พวกนี้ปีก่อนดีหมด

“คุณพ่อ” แทรกว่า ผมไม่ได้สอนเรื่องการลงทุนกับลูกมากมาย เขาเก่งอยู่แล้ว เพราะตอนฝนเรียนจบ เขาไปฝึกงานตำแหน่งนักวิเคราะห์กลุ่มพลังงาน ในบล.ทรีนิตี้ 1 ปีกว่า ตอนนั้นไปช่วยหัวหน้าวิเคราะห์หุ้นกลุ่มปตท.(PTT)

“ทายาทคนโต” บอกว่า ตอนนี้ในพอร์ตมีหุ้นประมาณ 3-4 ตัว ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มสาธารณูปโภค ถามว่ามีหุ้นตัวไหนบ้าง? เธอหันไปสบตาคุณพ่อเหมือนจะถามว่าบอกได้ไหม “พนม”สวนกลับทันที ตอนนี้มีหุ้น ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ (SITHAI) หุ้น บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และหุ้น อิออน ธนสินทรัพย์ (AEONTS) ประมาณนี้

ที่ผ่านมาหุ้น AEONTS เคยให้ผลตอบแทนคืนกลับมาเป็นเท่าตัว เฉลี่ยผลตอบแทนหุ้นทุกตัวในปี 2555 ปาเข้าไป 50% จริงๆ ไม่ได้กำหนดว่าลงทุนไปแล้วต้องมีผลตอบแทนกลับมาเท่าไหร่ ขอเพียง 10-20% ก็พอใจแล้ว “ฝน” เสริมว่า ขอเลือกลงทุนในหุ้นที่เหมาะสมกับเราน่าจะดีกว่า เพราะจะทำให้เงินงอกเงย

ที่ผ่านมา“ฝน” ยังแบ่งเงินลงทุนไปไว้ในกองทุนด้วย แต่ตอนนี้สนใจอยากซื้อตราสารหนี้ “คุณพ่อ” แทรกขึ้นว่า ลูกสาวคนนี้ ไม่ค่อยกล้าเสี่ยง ถ้ากล้าสักนิดคงได้ผลตอบแทนกลับมาเยอะแล้ว (หัวเราะ) เธอสวนทันทีว่า ที่ไม่กล้า เพราะมองว่ามันเสี่ยง ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิง ก็จะต้องคิดรอบคอบนิดหนึ่ง ขอเน้นกระจายความเสี่ยงรอบด้าน ศึกษาข้อมูลให้ดี เพราะเราลงทุนระยะยาว อย่างตอนนี้ดัชนีสูงมากแล้ว ใครจะเข้าไปต้องระวังหน่อย เธอ พูดถึงพอร์ตการลงทุนของผู้เป็นพ่อว่า ส่วนใหญ่จะลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล หรือ ไพรเวทฟันด์ เพราะท่านไม่ค่อยมีเวลามานั่งดูราคาหุ้น แกจะอาศัยมืออาชีพเป็นคนบริหารให้ “พนม”สนับสนุนคำพูดลูกสาวว่า ผมไม่มีเวลาจริงๆ กองทุนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ตอนนี้มูลค่าน่าจะอยู่หลัก 10 ล้านบาท

แต่ผมก็ลงทุนหุ้นรายตัวบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) อาทิ กลุ่มพลังงาน บังเอิญรู้จักกับ“แอ๊ด” “กิตติ ชีวะเกตุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ (UAC) ผมเข้าไปลงทุนตั้งแต่ก่อนแตกพาร์ รู้สึกว่าตอนนั้นราคายังไม่ถึง 10 บาทต่อหุ้น แต่ ณ เวลานี้ราคาขึ้นไป 14 บาทแล้ว

อีกตัว คือ หุ้น คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) ช้อนมาตั้งแต่ราคา 3 บาท ราคาไปเร็วมากๆ การที่ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นทุกวันนี้อาจมาจากหุ้นตัวเล็กๆก็ได้ “ฝน” แสดงความเห็นว่า หุ้นตัวเล็กมีผลประกอบการที่ดี ผู้บริหารฝีมือดี และเขามีโปรเจคดีๆ มากมาย ฉะนั้นโอกาสที่ราคาหุ้นจะไปต่อก็มีโอกาสนะ

“พนม” ทิ้งท้ายเรื่องการลงทุนว่า ก่อนซื้อหุ้นสักตัว เราต้องศึกษาข้อมูลเยอะๆ บังเอิญผมจ็บมาเยอะ!!! (หัวเราะ) ตั้งแต่สมัยดัชนี 1,700 จุด ก่อนเจอวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ปี 2540 ตอนนั้นมีทั้งได้และเสีย ตลาดหุ้นปี 2556 โอกาสแตะ 1,700 จุด น่าจะมีให้เห็น ส่วนการลงทุนในเรื่องที่ดิน ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะมูลค่าไม่มีทางลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น อยู่ที่ว่าจะขึ้นเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง

“ควบรวม-เทคโอเวอร์” ทางเลือกอนาคต AGE

"พนม ควรสถาพร" บอกว่า ลูกๆเริ่มโตกันหมดแล้ว ตอนนี้คนโตและคนรองเริ่มเข้ามาช่วยงานของครอบครัว ถือเป็น “เจเนอเรชั่น 3” ของตระกูลควรสถาพร ตอนนี้ผมให้ฝนเข้ามานั่งเป็นกรรมการบริษัท อยากให้เขาเรียนรู้งานและเข้าใจพนักงานในทุกระดับชั้น เพราะวันหนึ่งเขาต้องทำแทนพ่อทั้งหมด ส่วน “น้องเฟิร์น” คนนี้ออกแนวบู้เลยให้ไปฝึกงานเกี่ยวกับโลติสติกส์น่าจะเหมาะกว่า

ถามว่าอยากให้ลูกทั้ง 6 คนนั่งทำงานใน AGE หรือไม่? ผมไม่บังคับอยู่ที่ตัวเขาว่าชอบหรือไม่ เข้ามาทำงานสัก 3 คน ก็โอเคแล้ว “ฝน” บอกว่า ทำงานกับพ่อรู้สึกดีมาก เราเห็นธุรกิจของครอบครัวมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะออฟฟิศอยู่ติดกับบ้าน “พนม” เสริมว่า ไม่อยากให้ลูกเข้ามาเป็นเจ้านายทันที อยากให้เขาไปเรียนรู้การเป็นลูกจ้างก่อน ไปให้คนอื่นใช้ก่อน อยากให้รับรู้ความรู้สึกของการเป็นพนักงาน พอเข้ามาเป็นเจ้านายจริงๆ จะได้เข้าใจหัวอกเขา

พนมบอกว่า ลูกคนที่ 3 เรียนด้านไฟแนนซ์ใกล้จบแล้ว เขาเรียนเก่ง ผมอยากให้เขามาดูเรื่องควบรวมกิจการ เพราะวันข้างหน้าธุรกิจของเราต้องควบรวมกิจการแน่นอน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น สมัยนี้จะมัวมานั่งนับ 1 คงไม่ได้แล้ว ส่วนลูกสาวคนที่ 4 ตอนนี้เรียนอยู่ที่อังกฤษ กับน้องชายอีก 2 คน ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะเรียนอะไร ตอนนี้อยู่ระหว่างตัดสินใจ ผมไม่บังคับอยากเรียนอะไรตามใจชอบ “คนเป็นพ่อมีหน้าที่ส่งให้เขาได้เรียนสูงๆ เพราะผมเรียนน้อย”

“พนม” อัพเดทแผนธุรกิจปี 2556 ให้ฟังว่า จะปรับแผนธุรกิจเล็กน้อย จากเดิมที่จะเข้าไปซื้อเหมืองถ่านหิน ตอนนี้เราก้าวออกมาดูในอีกมุมหนึ่ง โดยจะหาบริษัทในอินโดนีเซียที่เหมาะสมกับ AGE เพื่อเข้าไปร่วมลงทุน ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าจะออกมาในรูปแบบใด ระหว่างลักษณะควบรวมกิจการหรือเทคโอเวอร์

อย่าถามนะว่าจะได้เห็นเมื่อไร ผมกำลังศึกษาอยู่ (หัวเราะ)

ที่ผ่านมาถือว่าเป็น “โชคดี” ของเราที่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย เพราะถือคติ “ซื้อของช้าสักนิดแล้วมีกำไร ดีกว่าซื้อมาแล้วเป็นภาระ” เพราะตอนนี้ราคาถ่านหินต่ำมากๆฉะนั้นเวลานี้เหมาะมากที่จะเข้าไปซื้อกิจการ นโยบายของเราซื้อแล้วต้องมีรายได้เข้ามาทันที

เราจะรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น อาทิเช่น อินเดีย ญี่ปุ่น และจีน ไตรมาส 2/2556 เราจะไปขายถ่านหินในอินเดียก่อน ส่วนประเทศจีน ตอนนี้ขยายฐานลูกค้าจากเดิม 2-3 ราย เพิ่มขึ้นเป็น 5-6 รายแล้ว

“ซีอีโอป.7” ตอบคำถามที่ว่า “นักลงทุนมีโอกาสเห็นยอดขายหมื่นล้านบาทหรือไม่” เขาตอบเสียงดังว่า ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่การที่จะไปถึงจุดหมายนั้นได้ AGE จะต้องมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการหรือเข้าไปร่วมทุน เพื่อสร้างเงินเข้ามาทันที ไม่ต้องรอให้ค่อยๆเติบโต

“ฝน” พูดเสริมว่า โครงการท่าเรือและคลังสินค้าที่อยู่ในบริเวณเดียวกันในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นโครงการที่ช่วยลดต้นทุนขนส่งด้านโลจิสติกส์เฉลี่ยปีละกว่า 100 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีต้นทุนขนส่งลดลงเยอะ และช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจากปกติเฉลี่ยอยู่ที่ 4% เพิ่มขึ้นเป็น 6% และโครงการดังกล่าวยังได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี

“เราเริ่มมียอดออเดอร์จากตลาดต่างประเทศที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นชัดเจนตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2555 เป็นต้นไป ในช่วงไตรมาส 4/55 เรามีกำไร 63.36 ล้านบาท และมีรายได้ 1,028 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการในปี 2556 รายได้ 6,000 ล้านบาท ได้เห็นแน่นอน"

“คู่พ่อลูก” ยังทิ้งท้ายว่า บริษัทมีแผนร่วมลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า 10 เมกะวัตต์ มูลค่าก่อสร้าง 1,000 ล้านบาท โดยใช้พลังงานไบโอแมสเป็นเชื้อเพลิงกับ“ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์” (UAC) “คิวทีซี เอนเนอร์ยี่” (QTC) และบริษัท ไบโอแมส จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว คาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าจะเห็นความชัดเจน ผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะราวๆ 10% ต่อปี หากโครงการนี้โอเคเราจะทำแบบนี้ต่อไปอีก