สถาบันทยอยซื้อหุ้นโฮมโปรฯ
สถาบันทั้งใน-ต่างประเทศ ทยอยซื้อหุ้น "โฮม โปรดักส์" เข้าพอร์ต พบ "กบข." ถือครองกว่า 71 ล้านหุ้น
สำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ ระบุว่า การปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) พบนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นบริษัทดังกล่าว ได้แก่ กองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เข้าถือ 71.34 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.65% เดอะ แบงก์ ออฟ นิวยอร์ก (นอมินี) ถือครอง 78.22 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.71% จากเดิมทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวไม่มีการถือครองหุ้นของบริษัทนี้ ขณะที่เอไอเอ คอมพานี ลิมิเต็ด-ดีแอล-ไลฟ์ ฮ่องกง ถือครอง 262.65 ล้านหุ้น จากเดิมที่เคยถือลงทุน 231.57 ล้านหุ้น
การเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัทโฮมโปรในรอบปี 2557 ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 11.10 บาท ตอนเดือนก.ย.2557 ซึ่งเป็นระดับราคาสูงสุด และต่ำสุดที่ 8.10 บาท วันที่ 6 ม.ค. 2557 ราคาเฉลี่ยในรอบปีอยู่ที่ 9.60 บาทต่อหุ้น ล่าสุดวานนี้ (20 ต.ค.) ปิดตลาดที่ 10.10 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มีมูลค่าการซื้อขาย 238.03 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า การที่หุ้นโฮม โปรดักส์ฯ ปรับตัวขึ้นมา เพราะมีแรงซื้อของนักลงทุน โดยคาดหวังว่าบริษัทจะเติบโตดีตามเศรษฐกิจ ที่มีสัญญาณว่าจะดีขึ้น รวมทั้งคาดภาพรวมการเติบโตของรายได้ไตรมาส 3 ปีนี้ยังโตต่อเนื่อง จึงแนะนำให้เข้าลงทุน ขณะเดียวกันคาดผลประกอบการทั้งปีจะโตได้ตามเป้า
ด้าน บล.ฟิลลิป กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยคาดผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ของโฮม โปรดักส์ฯ จะเติบโตทั้งงวดปีก่อนและไตรมาสก่อน แม้ภาวะการจับจ่ายใช้สอยยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ประโยชน์จากกลุ่มลูกค้าหลักของโฮม โปรดักส์ฯ เป็นผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง โดยปรับกำไรสุทธิปีนี้ลงเล็กน้อย แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี คาดอยู่ที่ 3,311.55 ล้านบาท เพราะมีการปรับต้นทุนขายเพิ่มขึ้นจากธุรกิจ Mega Home ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าโฮม โปรดักส์ฯ
"บริษัทโฮมโปรดักส์ฯ คงเป้ารายได้ปีนี้โต 15% จากภาวะการจับจ่ายใช้สอยที่จะเริ่มกลับเข้ามาในครึ่งปีหลัง จากโครงการลงทุนของทางภาครัฐและเอกชน รวมถึงเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจด้วย ในส่วนของปีหน้าบริษัทคาดรายได้โตต่อเนื่องที่ 15% เช่นกัน โดยมาจากการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมและการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นความเห็น"นักวิเคราะห์กล่าว
คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้น 10.73% จากงวดเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของยอดขายทั้งของโฮม โปรดักส์ฯ และ Mega Home ที่ยอดขายยังโตได้ต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่มากนัก สิ้นไตรมาส 3 ปีนี้บริษัทมี 67 สาขา และของ Mega Home มี 4 สาขา โดยเปิดโฮม โปรดักส์ฯ เพิ่ม 1 สาขาในไตรมาส 3 ปีนี้ที่จ.เชียงใหม่ ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นมีสัดส่วนใกล้เคียงกับไตรมาส 2 เพราะสัดส่วน Private Brand ยังปรับเพิ่มขึ้นไม่มากอยู่ที่ 20.3%
ด้านค่าใช้จ่ายการขายมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะมีค่าใช้จ่ายเตรียมเปิดสาขาใหม่ในไตรมาส 4 ปีนี้ 4 แห่งในไทยและ 1 แห่งในมาเลเซีย จึงส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส 3 เติบโตเล็กน้อย แม้ยอดขายจะเติบโตค่อนข้างมาก
ทางฝ่ายมีการปรับดอกเบี้ยจ่ายต่ำลงเช่นกัน เพราะบริษัทยังไม่มีการออกหุ้นกู้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ตามที่ทางฝ่ายเคยคาดไว้ แต่ฝ่ายประเมินบริษัทจะออกหุ้นกู้เพิ่มในไตรมาส 4 ปีนี้ เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินงานและการขยายสาขาเพิ่มขึ้นคำแนะนำการลงทุน
บล.เคเคเทรด คาดว่า บริษัทโฮมโปรฯ จะมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3 ปีนี้ 779 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันปีก่อน โดยคาดยอดขายที่ 12,153 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน ขณะที่ปี 2558 เริ่มเห็นผลบวกจากการขยายตลาดใหม่ โฮมโปรดักส์ฯ มีการขยายตลาดใหม่ผ่าน Mega Home จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางลงไปและจะเปิดสาขาต่างประเทศแห่งแรกในมาเลเซียราวเดือนพ.ย.-ธ.ค.นี้ ตามประมาณการคาดครึ่งปีหลังปี 2558 ธุรกิจMega Home จะผ่านจุดคุ้มทุน ส่วนสาขามาเลเซีย คาดจะรับรู้ผลขาดทุน 170 ล้านบาทในปีแรก และลดลงเหลือ 80-100 ล้านบาทในปีที่ 2
นอกจากนี้ยังไม่รวมรายได้ส่วนเพิ่มจากโครงการ Solar Rooftop ซึ่งให้บริษัทไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ เช่าดาดฟ้าสาขาโฮมโปร 11 แห่งทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีสาขาเข้าร่วม 5 แห่ง และครบ 11 แห่งในปี 2558 เบื้องต้นประมาณการรายได้ส่วนเพิ่มอย่างน้อยราว 7-10 ล้านบาทต่อปีจากโครงการ Solar Rooftop 11 แห่ง