ศาลยกฟ้อง! ร้องเพิกถอนสัมปทาน 'เอราวัณ-บงกช'
ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายกฟ้อง กรณีมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคร้องเพิกถอนสัมปทาน "เอราวัณ-บงกช" ชี้กรรมการปิโตรเลียมมีอำนาจโดยชอบ
วันนี้ (11 ก.พ. 2562) ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ ฟร.10/2561 คดีหมายเลขแดงที่ ฟร.1/2562 ซึ่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นผู้ฟ้องคดี คณะกรรมการปิโตรเลียม คณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ถูกฟ้องคดี
โดยมีคำขอให้เพิกถอนประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2560 และกฎกระทรวงกำหนดแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต พ.ศ.2561 โดยศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดี และคดีเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ซึ่งศาลสามารถรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้ แม้จะยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดี
สำหรับกรณีประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการลงวันที่ 19 ตุลาคม 2560 นั้น ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ประกาศที่กำหนดให้การสำรวจหรือ ผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัญญาจ้างบริการได้ก็ต่อเมื่อเป็นพื้นที่ที่มีผลการสำรวจพบปิโตรเลียม ที่ชัดเจนและมีข้อมูลคาดการณ์ได้ว่า มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบตั้งแต่สามร้อยล้านบาร์เรลขึ้นไป และมีปริมาณการผลิตสะสมรวมกับปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่เหลืออยู่เฉลี่ยทั้งพื้นที่มีค่ามากกว่า สี่ล้านบาร์เรลต่อหลุมผลิตปิโตรเลียม หรือมีปริมาณสำรวจก๊าซธรรมชาติตั้งแต่ สามล้านล้านลูกบาศก์ฟุตขึ้นไป และมีปริมาณการผลิตสะสมรวมกับปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่เหลืออยู่เฉลี่ยทั้งพื้นที่มีค่ามากกว่าสี่หมื่นล้านลูกบาศก์ฟุตต่อหลุมผลิตปิโตรเลียม เป็นการกำหนดเงื่อนไขที่จงใจให้ไม่สามารถนำระบบสัญญาจ้างบริการมาใช้ได้ จึงขัดต่อกฎหมาย เอื้อประโยชน์แก่ผู้รับสัมปทานเดิม
ศาลปกครองสูงสุด เห็นว่าการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมโดยการให้สัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการนั้น การได้ผลประโยชน์และภาระหน้าที่ของรัฐจะแตกต่างกัน ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตสามารถจูงใจผู้ประกอบการได้มากกว่าสัญญาจ้างบริการ และพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ได้ให้อำนาจคณะกรรมการปิโตรเลียมโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่า ที่ใดสมควรดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบใด การกำหนดวิธีการสำรวจจากปริมาณการสำรวจพบปิโตรเลียมและโอกาสพบปิโตรเลียมจึงสามารถดำเนินการได้ตามที่กฎหมาย ให้อำนาจ และการดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ย่อมหมายความรวมถึงกระบวนการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถนำทรัพยากรปิโตรเลียมมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย การกำหนดวิธีการจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก การที่คณะกรรมการปิโตรเลียมใช้ดุลพินิจกำหนดให้การสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมที่สามารถดำเนินการในรูปแบบสัญญาจ้างบริการเฉพาะในพื้นที่ที่มีการสำรวจพบเป็นปริมาณที่มากกว่าที่มีการค้นพบแล้ว ในประเทศไทย จึงมีเหตุผลสนับสนุนและไม่อาจรับฟังได้ว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งตามประกาศพิพาทกำหนดให้มีการทบทวนโอกาสพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ของประเทศไทยทุกๆ 3 ปี โอกาสที่รัฐ จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัญญาจ้างบริการก็ย่อมเกิดขึ้นได้
ส่วนกรณีกฎกระทรวงกำหนดแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต พ.ศ.2561 นั้น ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า แบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตท้ายกฎกระทรวงที่กำหนดให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติมีสิทธิรับส่วนแบ่งปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรแทนรัฐโดยเจรจาราคาตามที่เห็นชอบกับผู้รับสัญญาโดยไม่ได้ดำเนินการพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เป็นการเปิดโอกาสให้ร่วมการทุจริต ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ได้กำหนดวิธีการขายปิโตรเลียมไว้เป็นการเฉพาะแล้ว แบบของสัญญาตามกฎกระทรวงดังกล่าวจึงเป็นไป ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำพิพากษายกฟ้อง