'วนชัยกรุ๊ป' ปั้น 'วนชัยวู้ดสมิตร' เจาะค้าปลีก
"วนชัยกรุ๊ป" ปรับโมเดลธุรกิจ รับมือเศรษฐกิจโลกผันผวนจากปัญหาสงครามการค้า ปั้น "วนชัย วู้ดสมิตร" พัฒนาสินค้าใหม่เจาะค้าปลีก
นายวรรธนะ เจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ VNG เปิดเผยว่าปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ กระทบการค้าขายทั่วโลกตลอดจนการเดินเรือและบริษัทฯก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากยอดขายกว่า 80% มาจากการส่งออกรวมไปถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าว่าเงินสกุลอื่นๆ ทำให้ราคาขายสินค้าลดต่ำลง อีกทั้งผลพวงปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้จีนต้องชะลอการผลิตอุตสาหกรรมไม้และชะลอการซื้อไม้แปรรูปจากประเทศไทยอุตสาหกรรมโรงเลื่อยในประเทศไทยจึงชะลอตัวลงอย่างมากส่งผลให้เกิดการชะลอการโค่นไม้ยางพาราจากสวนยางพาราที่หมดอายุการกรีด ทำให้ซัพพลายของไม้หายไปจำนวนมากกดดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปีที่ผ่านมาประสบปัญหาขาดทุน และคาดว่าปีหน้าจะไม่ขาดทุนแล้ว
"ในช่วงเวลาไม่ถึง 5 ปีนี้มีทั้งปีที่บริษัทฯกำไรมากที่สุดและปีที่ขาดทุนมากที่สุดแสดงให้เห็นว่ากำไรของบริษัทฯผันผวนตามตลาดคอมโมดิตี้ส์โลก ซึ่งในช่วงนี้เศรษฐกิจโลกอาจจะจะมีความผันผวนมากกว่านี้ทำให้เรามีความจำเป็นต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ให้มีความเชื่อมโยงกับตลาดคอมโมดิตี้ส์ของโลกลดลงแต่จะพัฒนาให้ขายสินค้าในตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งตลาดปลายน้ำใหม่ๆ ตลาดค้าปลีกและ ตลาด Finished Products การปรับโมเดลครั้งนี้จะเสร็จสมบูรณ์ในปี2565 ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของ VNG สามารถสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนสม่ำเสมอและเติบโตอย่างยั่งยืนสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต โดยในปี 2565ได้วางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท"
สำหรับโมเดลธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ จะเพิ่มการขายสินค้าในประเทศเป็น 50% จากเดิมที่มีเพียง 20%โดยยอดขายประเทศไทย 50% จะเป็น Finished Products ที่บริษัทฯกำลังพัฒนาขึ้นมาใหม่ โดยดำเนินการผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท วนชัยวู้ดสมิธ จำกัด โดยจะใช้แบรนด์สินค้าคือ "วนชัย วู้ดสมิตร" ซึ่งโมเดลใหม่นี้จะทำให้บริษัทฯสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจโลก
เขากล่าวต่อว่าตลาดปลายน้ำและตลาดค้าปลีก การใช้ไม้อัด wood-based panel ในประเทศไทยไม่ได้เจริญเติบโตขึ้นเหมือนในประเทศอื่นๆทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าการใช้ไม้ในการก่อสร้างในประเทศไทยไม่ได้รับการพัฒนาเลย บริษัทฯ มีความตั้งใจจะพัฒนาตลาดการใช้ไม้อัด wood-basedpanel ในประเทศให้ทัดเทียมนานาประเทศด้วยเนื่องจากไม้เป็นวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดเมื่อเทียบกับเหล็ก ซีเมนต์ และ พลาสติก การผลิตไม้ wood-based panel ของบริษัทฯมีกระบวนการผลิตที่มีความsustainable สมบูรณ์ครบวงจร
นอกจากนี้ VNG ยังมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสร้างกำไรเติบโตอย่างยั่งยืนและสม่ำเสมอ ด้วยสามกลยุทธ์หลัก คือ 1.การบริหารวัตถุดิบไม้แบบครบทั้งสวนทั้งต้น2.การพัฒนาสินค้าใหม่ แผ่นไม้OSB และ แผ่นวีเนียร์ และ3. การทำธุรกิจพลังงานทดแทน
การบริหารวัตถุดิบไม้แบบครบทั้งต้นครบทั้งสวนนั้น จะทำให้ บริษัทฯ ไม่ต้องพึ่งพาเศษไม้จากอุตสาหกรรมโรงเลื่อยซึ่งจะมีปริมาณมากน้อยขึ้นลงตามเศรษฐกิจโลกเพียงอย่างเดียวโดยจะสามารถใช้ไม้ยางพาราได้ทั้งสวนทั้งต้น ซึ่งจะลดต้นทุนไม้ได้มากเพราะสวนยางพาราที่มีอายุเกินกรีดยางได้แล้วยังไม่ถูกโค่นมีจำนวนมาก โดยการใช้ไม้ของบริษัทฯนั้น ส่วนกิ่งก้านนั้นจะเอาไปผลิตแผ่น MDF และ แผ่น OSB ส่วนตรงกลางลำต้น หรือไม้ท่อนจะนำมาปอกเป็นแผ่นวีเนียร์ เศษจากการปอกวีเนียร์ก็จะนำไปทำ Particleboardและ รากไม้ก็จะนำไปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล
ส่วนการพัฒนาสินค้าใหม่ แผ่น OSB และ แผ่นวีเนียร์ ทำให้สามารถใช้ไม้ยางพาราได้ทั้งสวนทั้งต้น และสินค้าใหม่สองตัวยังมีราคาขายที่สูงที่สุดในกลุ่มสินค้า wood-based panel ซึ่ง "วนชัย กรุ๊ป" จะเป็นผู้นำคนแรกในการผลิตสินค้าสองชนิดนี้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ในประเทศไทยโดยโรงงาน OSB แห่งใหม่ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานีจะก่อสร้างเสร็จภายในปีนี้มีมูลค่าการลงทุน 2,300 ล้านบาท
นอกจากนี้ VNG ยังได้จัดตั้งบริษัทฯใหม่เพื่อเข้ามาบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์จะเห็นความชัดเจนในปีนี้เพื่อรองรับการสเติบโตของ "วนชัย วู้ดสมิตร" และการขายสินค้าภายในประเทศซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพควบคู่กับการลดต้นทุนและช่วยให้ "วนชัย กรุ๊ป"และ "วนชัยวู้ดสมิตร" สามารถบริการลูกค้าผู้บริโภคทั่วประเทศได้ดีสมบูรณ์
เขากล่าวต่อ ในช่วงท้ายว่าปัจจุบันบริษัทฯ ได้เริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ โดยวัตถุดิบก็คือเศษเปลือกไม้ที่เหลือจากการผลิตในโรงงานและรากไม้ที่เหลือจากโค่นไม้ยางพาราที่หมดอายุ และจะดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่จังหวัดชลบุรี และ จังหวัดสระบุรีด้วย นอกจากนี้ยังได้เริ่มใช้พลังงานไฟฟ้า solar roof ที่โรงงานสระบุรีแล้วในปีนี้ มีกำลังการผลิต 3.5เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมากเช่นกัน และ จะดำเนินโครงการ solarroof ที่โรงงานชลบุรี และ สุราษฎร์ธานี ต่อไปด้วย
ด้านนางสาวภัทรา สหวัฒน์ กรรมการ บริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัดบริษัทย่อยของ VNG ระบุว่าบริษัทฯมีเป้าหมายพัฒนาตลาดการค้าปลีกและสินค้า finished products โดยบริษัทฯมีสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพที่สะพานพระราม7 เป็นศูนย์เรียนรู้ให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการได้ทดสอบและเรียนรู้การใช้ finished products ของบริษัทฯ นอกจากนั้น "วนชัย วู้ดสมิตร" จะเปิด flagship store ตามหัวเมืองใหญ่เป็นลำดับต่อไป โดยจะมีทั้ง standalone store และ partner store โดยร่วมมือกับพันธมิตรของเราเริ่มต้นด้วยการจับมือกับกลุ่ม Dynasty ผู้นำในอุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิค
"เราตั้งเป้าหมายจะมีสาขา 20 สาขาร่วมกับกลุ่ม Dynasty ภายในสิ้นปีนี้ ภายในปี 2564 ตั้งเป้าจะมี 60 สาขา พร้อมมีการขายออนไลน์ และภายในปี 2566 จะมี 100 สาขาทั่วประเทศไทย พร้อมทั้งได้ตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้จำนวน 300 ล้านบาท และคาดว่าภายในปี 2564 จะมียอดขาย 4,000 ล้านบาท และภายในปี 2566 ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ล้านบาท ตามการขยายตัวของสาขา"
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการวางจำหน่ายสินค้าให้กับโมเดิร์นเทรดที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบันก็จะทำต่อไป ทั้งสินค้าใน brand Vanachai และ สินค้า OEM ต่างๆ แต่การเปิดตัว "วนชัย วู้ดสมิตร" มีเป้าหมายที่จะพัฒนาสินค้าแบบใหม่ที่ตลาดยังไม่คุ้นเคยแต่เมื่อได้รับการตอบรับแล้วสินค้าของ "วนชัย วู้ดสมิตร" จะช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าที่ดีมีคุณภาพตอบสนองไลฟ์ไสตล์ใหม่ๆได้ ในราคาที่เหมาะสม
อนึ่ง บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ VNG ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2486 โดยเริ่มจากธุรกิจโรงเลื่อยจักร ก่อนจะพัฒนาเป็นผู้ผลิตไม้อัด และก้าวมาเป็นผู้ผลิตแผ่นไม้ทดแทนไม้ธรรมชาติwood-based panel มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย อาทิ Particleboard MDF BoardOSB Laminate Flooring บานประตูไม้ HDF ผลิตภัณฑ์ตกแต่งผนัง ผลิตภัณฑ์ไม้พื้นและบัว และผลิตภัณฑ์ไม้พื้นบันไดและไม้ราวจับ