'วีรศักดิ์' เด้งรับนโยบาย 'จุรินทร์' เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

'วีรศักดิ์' เด้งรับนโยบาย 'จุรินทร์' เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

"รมช.พาณิชย์" เร่งเครื่องปลุกเศรษฐกิจฐานราก ฟื้นโชวห่วย เพิ่มสินค้าจีไอ พร้อมเชื่อมโยงเกษตรกรให้เข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าระหว่างประเทศได้


นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เชิญอธิบดีและผู้บริหารหน่วยงานภายใต้กำกับดูแล เข้ามาหารือผลักดันนโยบายไปสู่การปฎิบัติจริงทันทีที่รับทราบ 10 นโยบายเร่งด่วนของกระทรวงพาณิชย์ เพราะมีนโยบายถึง 6 ข้อ จาก 10 ข้อ ที่เกี่ยวข้องกับงานในกำกับดูแลของตน ซึ่งในฐานะที่กำกับดูแลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า , กรมทรัพย์สินทางปัญญา , กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ , ศูนย์ส่งเสริมศิลปะชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) , สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) , และ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน)


ในส่วนของภารกิจขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งรัดดำเนินการ 4 ด้านให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่ 1. การให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจและประชาชน 2.พัฒนาร้านค้าปลีกรายย่อย (โชวห่วย) เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจท้องถิ่น 3) ส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP Select และ 4.เร่งสร้างและขยายธุรกิจด้วยระบบแฟรนไชส์ รวมถึงการสร้างผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์


ขณะที่องกรมทรัพย์สินทางปัญญา จะเน้นส่งเสริมและคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ จีไอเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานรากตามแนวนโยบายของรัฐบาล แม้ว่าปัจจุบันสินค้าจีไอ ไทยทั้ง 111 รายการ จะสามารถสร้างมูลค่าทางการตลาดได้สูงถึง 5,300 ล้านบาท แต่ก็ต้องเดินหน้าเพิ่มมูลค่าการตลาดสินค้าเหล่านี้ให้สูงขึ้นไปอีก พร้อมกันนี้จะมีการจัดชุดลงพื้นที่ในลักษณะ โมบาบยูนิต (Mobile Unit) เพื่อให้ความรู้และคำแนะนำในการจัดทำคำขอขึ้นทะเบียนจีไอ แก่ผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนอย่างใกล้ชิด ซึ่งภารกิจดังกล่าวต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการควบคุมคุณภาพสินค้า และส่งเสริมช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศด้วย


นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับภารกิจด้านการค้าระหว่างประเทศ ได้มอบ 2 นโยบายหลัก ให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเร่งรัดดาเนินการในช่วงครึ่งหลังปี 2562 คือให้เดินหน้าจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าหรือ JTC กับประเทศคู่ค้าของไทย ได้แก่ สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม บังกลาเทศ และอิรัก เป็นต้น รวมทั้งยังขอให้เร่งรัดสรุปผลการเจรจาเอฟทีเอที่ค้างอยู่ อาทิ การเจรจา RCEP (อาร์เซป) , เอฟทีเอไทย-ปากีสถาน , เอฟทีเอไทย-ตุรกี และเอฟทีเอไทย-ศรีลังกา พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมสาหรับการเปิดการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-อียู เพื่อขยายมูลค่าการค้าของไทยในเวทีการค้าโลก

ทั้งนี้ ในปี 2561 การค้าไทยกับโลกมีมูลค่า 501,758 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 9.5% ขณะที่ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค.-มิ.ย.) การค้าไทยกับโลกมีมูลค่า 241,998 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากปีก่อนหน้า 2.7%


นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้อีก 3 หน่วยงานในสังกัด ได้แก่ ศูนย์ส่งเสริมศิลปะชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) , สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) , และ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) นำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และเสริมสร้างโอกาส และความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ให้สามารถแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลาง เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงสร้างความเข้าใจแก่เกษตรกรและประชาชนทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ตามนโยบายของ รัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง