คัมภีร์เคลื่อนโอสถสภาองค์กรร้อยปี “เพชร โอสถานุเคราะห์”

คัมภีร์เคลื่อนโอสถสภาองค์กรร้อยปี “เพชร โอสถานุเคราะห์”

“โอสถสภา” องค์กร 128 ปี ที่เดิมธุรกิจถูกขับเคลื่อนในรูปแบบ “ครอบครัว” ภายใต้ตระกูล “โอสถานุเคราะห์” กระทั่งปี 2561 ทายาทรุ่น 4 ตัดสินใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) แปลงเป็น “มหาชน” เต็มตัว

ความน่าสนใจของ “โอสถสภา” หนึ่งใน“ยักษ์ใหญ่” สินค้าอุปโภคบริโภคของเมืองไทย ท่ามกลางโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงฉับไว พฤติกรรมผู้บริโภคพลิกจากอดีตไปมาก แต่ที่ผ่านมาบริษัทมักเก็บตัวเงียบไม่ค่อยออกสื่อ 

กรุงเทพธุรกิจ สัมภาษณ์พิเศษ เพชร โอสถานุเคราะห์” ทายาทรุ่น 4 ผู้รับไม้ต่อเป็น “แม่ทัพ” ขับเคลื่อนองค์กรให้โตต่อไปอีก “100 ปี”

เพชร ใช้ชั้นบนสุดของอาคารหมายเลข ๕ บริษัทโอสถสภา ที่เขาบอกว่าเป็นอาคารที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ภายในห้องมีผลงานศิลปะ Back to the beach ที่เจ้าตัวสะสม เก้าอี้โยกเยกที่เขาเล่าติดตลกว่า ไว้สำหรับพนักงานนั่งเพื่อทำโทษ

บทสนทนาแรก เพชร บอกเหตุผลที่ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนยาก เพราะบุคลิกส่วนตัวเป็นคน เก็บตัว หรือ Introvert

“ผมเป็นคนสันโดษ ชอบทานข้าวคนเดียว ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ที่ให้สัมภาษณ์เพราะสื่อสารองค์กรสั่งให้คุณเพชรสัมภาษณ์หน่อย เผื่อหุ้นจะขึ้น” ทิ้งท้ายหัวเราะดัง

เท้าความตำนานโอสถสภา เพชรเล่าว่า คุณทวด แป๊ะ แซ่ลิ้ม” หอบเสื่อผืนหมอนใบจากดินแดนจีนโพ้นทะเลมาตั้งรกรากในไทย เมื่อปี 2434 เปิดร้านขายยา เต๊กเฮงหยู” ย่านสำเพ็ง พร้อมผลิตยากฤษณากลั่นตรากิเลน มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคท้องร่วง

ครั้งหนึ่งยากฤษณากลั่นได้ทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 สำหรับใช้ในการซ้อมรบของกิจการเสือป่า สรรพคุณยาที่แก้โรคท้องร่วงชะงัดทานแล้วอาการป่วยหายในวันรุ่งขึ้น ทำให้มีการกล่าวขวัญถึงอย่างมาก(Word of mouth) เพียง 1 ปี ทำให้ยามียอดขายดีมาก

กิจการเจริญเติบโตก้าวหน้า ปี 2456 “แป๊ะ แซ่ลิ้ม” ได้รับพระราชทานเข็มเสือป่า และทรงประทานนามสกุล โอสถานุเคราะห์” ขณะเดียวกันจากประสิทธิผลของยากฤษณากลั่น ที่พระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็น และเขียนแนะนำให้ใช้ยากฤษณากลั่นในการรักษาโรคท้องร่วง ในพระราชนิพนธ์ “กันป่วย” ยาดังกล่าวเพชรและลูกยังพกติดตัวเสมอด้วย

ขณะที่รุ่น 2 ปู่ สวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์ เป็นทายาทนำทัพธุรกิจ จากนักเรียนแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อบิดา(แป๊ะ) เสียชีวิต ทำให้สวัสดิ์ลาออกจากการเรียน เพื่อมาดูแลกิจการครอบครัว พร้อมนำความรู้ความสามารถทางการแพทย์มาวิจัยและพัฒนา คิดค้นสูตรยาหลากหลายรายการภายใต้ “ตรากิเลน” มียาทัมใจ ยาอมโบตัน รวมถึงยาพื้นบ้านเสริมพอร์ตโฟลิโอจำนวนมาก ส่งผลให้กิจการเติบใหญ่ มีการเปลี่ยนชื่อร้านเป็น โอสถสถาน (เต๊กเฮงหยู)” ยุคนี้ธุรกิจถือว่าเริ่ม “ร่ำรวย” แล้ว

ยุคนั้นกิจการใหญ่โตมาก(เสียงสูง)ไปไหนในไทย ไม่มีใครไม่รู้จักร้านขายยาเต๊กเฮงหยู ผมเคยไปกับรถขายยา รถเซลล์ เพื่อสำรวจตลาด เห็นชัดว่าองค์กรยิ่งใหญ่มาก ใหญ่กว่าสมัยนี้ เขาย้ำ

ปู่สวัสดิ์ มีบุตร 4 คน ได้แก่ สุวิทย์-สุรัตน์-สุรินทร์-เสรี โอสถานุเคราะห์ โดยเจนฯ 3 สุวิทย์ และสุรัตน์ มีการสลับกันเป็น “ผู้นำ” องค์กร แต่บทบาทเด่นจะตกที่ “สุรัตน์” ค่อนข้างมาก เพราะนอกจากจะบริหารโอสถสภาแล้ว เขายังเป็นผู้ก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยกรุงเทพ” นอกจากการบริหารธุรกิจครอบครัว “สุรัตน์” ยังลงเล่นการเมือง เคยดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์”

ผลงานด้านธุรกิจ สุรัตน์ เป็นผู้นำเครื่องดื่มชูกำลังมาบุกเบิกตลาดในไทยเป็น “รายแรก” เมื่อการเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น พบเครื่องดื่มชูกำลังและหารือกับพันธมิตร “Taisho Pharmaceuticals” นำสินค้ามาผลิตในไทยภายใต้แบรนด์ ลิโพวิตัน-ดี

ขณะที่รุ่น 4 “เพชร” และ “รัตน์ เป็น 2 พี่น้องทายาทโดยตรงของ “สุรัตน์” การเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว เพชรจบการศึกษาปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด จากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐ ทั้งที่ส่วนตัวไม่ชอบเรียนบริหารเลย เพราะขณะนั้นยังมองไม่เห็นประโยชน์จากสาขาดังกล่าว แต่ตัดสินใจเรียนตามคำสั่งของมารดา ทันทีที่จบการศึกษาได้กลับมาช่วยธุรกิจครอบในปี 2520 ขึ้นตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ ขนาบข้างบิดาที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ จึงเริ่มเห็นประโยชน์จากการเรียนบริหารธุรกิจมากขึ้น

แม้จะทำงานใกล้ชิดบิดา ด้วยบุคคลิกพูดน้อย จึงสอนทายาทบริหารธุรกิจน้อยมาก แต่เมื่อใดที่พูดจะสร้างพลังให้เสมอ และสิ่งที่จดจำแม่นยำคือ “พ่อบอกว่าเวลาคิดให้คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก เพราะใช้เวลาเปิดสมองเท่ากัน คิดเรื่องเล็กทั้งวัน มันก็จะเล็ก เลยให้ Think Big” ยิ่งกว่านั้นพ่อ ลงมือปฏิบัติ ให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วย “ท่านไม่เคยหยุดนิ่ง คิดเรื่องธุรกิจตลอดเวลา ทำให้เห็นถึงการเป็นผู้ประกอบการ(Entrepreneur)จริงๆ”

ระหว่างการทำงานช่วงสั้นๆ เพชร ยังมี มานิต รัตนสุวรรณ” มือเก๋าการตลาดเป็นกุนซือให้ อย่างไรก็ตาม การทำงานที่ “แสดงความคิดเห็นไม่ได้” เพียง 5 ปี เขาตัดสินใจไปสร้างอาณาจักรธุรกิจโฆษณา “สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง” เป็นของตนเอง

“ทำงานกับพ่อยาก เพราะพ่อไม่ค่อยชอบให้เราแสดงความคิดเห็นมากมาย เขาชอบให้เราฟัง แต่เราฟังอย่างเดียวไม่ค่อยเป็น ชอบแสดงความคิดเห็น ดังนั้นเราจึงทำงานกับพ่อไม่ได้”

ระหว่างนั้น “รัตน์” น้องชาย ได้เข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัวต่อ และเพชรยกย่องผลงานที่น้องชายสร้างชื่อไว้ ไม่ว่าจะเป็นการทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังเอ็ม-150  ปรับแบรนด์อุทัยทิพย์มาเป็นยูทิป การดึงนักมวยแชมป์โอลิมปิกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ รุกสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง และอีกหลายสินค้า

ปี 2558 เพชร กลับเข้ามาบริหารโอสถสภาอีกครั้ง และถือเป็นการ ทรานส์ฟอร์มองค์กรครั้งสำคัญ เมื่อเขาต้องการแปลงธุรกิจครอบครัวให้เป็นมหาชน ซึ่งแนวคิดนี้เกิด 5-6 ปีก่อนเข้าตลาด และใช้เวลา 2 ปี เพื่อจูงใจให้คนในตระกูลเห็นชอบ จากนั้นจึงปรับโครงสร้างองค์กร ดึงมืออาชีพมาเป็นผู้บริหาร ปรับโครงสร้างสินค้าที่ค่อนข้างสะเปะสะปะจึงโละทิ้งมหาศาล รื้อโครงสร้างพนักงานผ่องถ่ายเลือดเก่ากว่า 1,000 ชีวิต มีเลือดใหม่หลัก 100 คนเข้ามาทำงาน เป็นต้น

“เมื่อก่อนการรายงานธุรกิจให้บอร์ดไม่ชัดเจนรายงานเพื่อทราบแต่ก็ไม่ได้มีPowerจริงจังเพราะมันเป็นบอร์ดครอบครัวฟังๆไม่ได้Involvedมากมายอย่างคุณรัตน์น้องชายผมก็อยู่แบบพี่น้องเพื่อนรักกันมากวันนี้มีตัวเลขมาให้ดูละเอียดและไม่ใช่แค่บอร์ดที่รับรู้พนักงานผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย(Stakeholders)เห็นตัวเลขเดียวกันหมดเรายังฉายภาพให้เห็นว่าการเติบโตในอนาคตจะเป็นอย่างไรเป้าหมายชัดเจนและมีความเป็นมืออาชีพมาก”

ปัจจุบันโอสถสภาเติบใหญ่มาก เพชร มององค์กรร้อยปีแห่งนี้เป็น ปลาใหญ่ในบ่อบึงประเทศไทย แต่ยังเล็กในมหาสมุทรโลก จึงมีเป้าหมายผลักดันให้องค์กรเป็นปลาที่ว่องไวกว่าเดิม เป็นไปได้ต้องการทัดเทียมกับ ยักษ์ข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็น ยูนิลีเวอร์ โคคา-โคล่า

ในบ่อบึงเมืองไทยเราเป็นปลาใหญ่ และยังช้าเกินไป..ใช่ แต่ช่วงนี้เรากำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองหลายด้าน มีการวิเคราะห์ วางแผน เปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจ ซึ่งถ้าทำเร็วเกินไปอาจจะพลาด ผมคิดว่า Slow but sure ดีกว่า และถ้าเรามีความ Sure แล้ว เราควรจะวิ่งได้เร็ว

ปัจจุบันเทคโนโลยีมีบทบาทในโลกธุรกิจอย่างมาก แต่เพชรบอกว่า ตนเองค่อนข้าง Low-tech แต่มุมหนึ่งคือมนุษย์สายพันธุ์คิดสร้างสรรค์(Creative) ซึ่งเป็น “จุดแข็ง” ของนักบริหารเช่นเขา รวมถึงการคิดกรอบนอกตลอดเวลา ทำให้สร้างแรงบันดาลใจ ผลักดัน สร้างความท้าทายให้ทีมงาน คิดเกมกลยุทธ์การทำตลาดแตกต่างจากคู่แข่ง

เป็นที่รู้กันว่า นอกจากเพชรบริหารโอสถสภา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ อีกมุมเขาคือ “ศิลปิน ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Perfectionist ออกอัลบั้มทุก 20 ปี มีนิยายที่แต่งทิ้งไว้กว่า 10 เรื่อง และยังเป็นนักสะสมผลงานศิลปะตัวยง มีผลงานเก็บไว้ร่วมร้อยชิ้น

การสวมบทแม่ทัพโอสถสภา ทำให้ต้องลดความทะเยอทะยาน ปล่อยวางความชอบส่วนตัวในการเป็นศิลปิน นักแต่งเพลง นักเขียนไปมาก

 ทำหลายอย่าง แต่เพชร เชื่อว่าตนเองเป็น CEO ที่ชิลล์ ที่สุดในประเทศไทย เพราะมี “ลูกน้องเก่ง” ถึงแม้จะมีแม่ทัพ นายกองเคลื่อนองค์กรร้อยปี แต่เป้าหมายใหญ่คือการผลักดันโอสถสภาให้เป็น “ยักษ์ใหญ่คอนซูเมอร์ที่ดีสุดในภูมิภาคอาเซียน" และขยับไปเอเชียได้