'มั่นคงฯ' ปั้นธุรกิจเช่าลดเสี่ยงอสังหาฯ เดือดฉุดกำไร
มั่นคงเคหะการ ลงทุน 250 ล้านบาท ปั้นสำนักงานแห่งใหม่ บนที่ดินเช่าย่านสุรวงศ์ของตระกูลบุญนาค สัญญาเช่า 30 ปี แบ่งพื้นที่บางส่วนปล่อยเช่า หวังปั้นโมเดลธุรกิจเช่า รับตลาดที่อยู่อาศัยแข่งเดือดแข่งเดือด
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย เช่าและเพื่อการบริการ เปิดเผยถึงการตัดสินใจลงทุนพัฒนาสำนักงานใหม่ พร้อมเปิดพื้นที่บางส่วนให้เช่า โดยเป็นการทำสัญญาเช่าที่ดินระยะยาว 30 ปี (Leasehold) กับสกุลบุญนาคซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน หลังบริษัทหมดสัญญาเช่าที่ดินเดิมย่านถนนบรรทัดทองกับสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยขณะนี้สำนักงานแห่งใหม่สร้างแล้วเสร็จเปิดให้บริการแล้ว
โดยใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 250 ล้านบาท ค่าที่ดิน 100 ล้านบาท และค่าก่อสร้าง 150 ล้านบาท เมื่อคำนวณออกมาเป็นอัตราเช่าแล้วพบว่าต่ำกว่า 400 บาทต่อตารางเมตร(ตร.ม.) ขณะที่ค่าเช่าเดิมต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 600-700 บาทต่อตร.ม. จึงถือว่าเป็นการลงทุนสร้างสำนักงานที่คุ้มค่า
ทั้งนี้ การพัฒนาสำนักงานแห่งใหม่ ถือว่าเป็นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นหนึ่งในแผนกลยุทธ์ 5 ปี (ปี2559-2563) ที่จะทำให้สำนักงานสร้างสุขภาวะที่ดี ภายในอาคารมีพื้นที่รวม 10,000 ตร.ม. มีพื้นที่ใช้สอยจริง 5,000 ตร.ม. โดยบริษัทใช้พื้นที่ 3,000 ตร.ม. ปล่อยเช่าให้กับร้านขนม และบริษัทด้านการก่อสร้าง รวม 600 ตร.ม. และใช้พื้นที่สำหรับกิจกรรมสอนทำอาหารให้กับพนักงาน 500 ตร.ม. เหลืออีก 900 ตร.ม. อยู่ระหว่างวางแผนว่าจะเปิดให้เช่า หรือพัฒนาธุรกิจใหม่ในอนาคต
เขายังกล่าวว่า ในปี 2562 ได้พัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมด13โครงการ แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 6 โครงการ,บ้านแฝด2โครงการ,บ้านเดี่ยว5โครงการ และโครงการเพื่อเช่าและเพื่อการบริการ ได้แก่ โครงการพาร์ค คอร์ท สุขุมวิท77,โครงการสนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ, โครงการบางกอกฟรีเทรดโซนโรงงานและคลังสินค้าเพื่อเช่า ที่บริหารงานโดย บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ปัจจุบันรองรับได้ 1.5 แสนตร.ม. จะเพิ่มเป็น 3 แสนตร.ม.ในปี 2563 ทำให้รายได้จากการให้เช่าคลังสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 200 ล้านบาทในปัจจุบันเพิ่มเป็น 400 ล้านบาท ในปี 2563
ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง3ไตรมาสแรกของปี2562 มีรายได้รวม 3,742 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯเพื่อขาย 3,237ล้านบาท และธุรกิจเพื่อเช่าและเพื่อการบริการ242ล้านบาท มีกำไรอยู่ที่232.7ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก172.3ล้านบาทเมื่อเทียบกับปี2561
สำหรับแผนในปี 2563 ยังคงเดินหน้าเปิดโครงการ โดยพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท จาก 4 โครงการ ซึ่งซื้อที่ดินแล้ว 2 แปลง อยู่ระหว่างพิจารณาซื้อที่ดินเพิ่ม หรือนำที่ดินสะสม 200 ไร่บริเวณสนามกอล์ฟ ในพื้นที่ปทุมธานี ที่สามารถพัฒนาโครงการได้ 4 โครงการ แต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะนำมาพัฒนาในปีใด
เขายังมองว่า ท่ามกลางสภาวะอสังหาฯชะลอตัว จึงต้องพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต เนื่องจากธุรกิจที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันสูง กลุ่มธุรกิจจึงต้องการเติบโตอย่างมั่นคง จึงคาดว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจเช่า จะเริ่มมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 50%ต่อธุรกิจขายที่อยู่อาศัย 50%สอดคล้องกันกับกลยุทธ์ 5 ปี
“การทำที่อยู่อาศัยขายเป็นรายได้ที่สูงแต่กำไรเพียงเล็กน้อย และแข่งขันกันสูง ต้องวิ่งเหมือนหนูติดจั่นตลอดเวลา ทำให้กลุ่มธุรกิจมองการเติบโตในระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจด้วยการมองหารายได้ประจำจากธุรกิจใหม่ เช่น การปล่อยเช่า และธุรกิจสุขภาพในอนาคต”