ราคาทองคำ Comeback..! หลุมหลบภัย 'เศรษฐกิจโลก' ทรุด
ช่วงสถานการณ์โลกเปราะบาง นักลงทุนลดเสี่ยงสูง หันซบสินทรัพย์ ที่เป็นเหมือน“หลุมหลบภัย” หนึ่งในนั้นยกให้ตลาด “ทองคำ” เข้าคอนเซ็ปต์ Safe Haven บ่งชี้ผ่านราคาทำ New High รอบ 7 ปี “กูรู”มองแนวโน้มเป็น “ขาขึ้น” จาก 2ปัจจัย“สหรัฐ-อิหร่าน ปะทุ - ศก.โลกชะลอ”
นับตั้งแต่ย่างก้าวเข้าสู่ปี 2563 สถานการณ์ความไม่แน่นอนของโลก “ร้อนแรง” ขึ้นทันที ! จากกรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศสหรัฐ และ อิหร่าน ที่ทำให้เกิด “ความกังวล” (Panic) ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก่อนที่ทุกอย่างจะคลี่คลายลงเมื่อคืนวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ออกมาแถลงถ้อยคำว่าจะไม่ใช่กำลังทางทหารตอบโต้ประเทศอิหร่าน ส่งผลให้บรรยากาศทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายความกังวลลงได้ !
ทว่า พลันทีสถานการณ์ทั่วโลกตกอยู่ในภาวะ“เปราะบางสุด” ครั้งนั้น ตลาดทุนคือ ตลาดแรกๆ ที่มีปฏิกิริยาเชิงลบทันที บ่งชี้ผ่าน ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลดลง “ต่ำสุด” (New Low)นับตั้งแต่ต้นปี 2563 อยู่ที่ 1,559.27 จุด (8 ม.ค.2563) จากต้นปี 2563 ที่ดัชนีอยู่ที่ 1,595.82 จุด (2 ม.ค.2563) หลังนักลงทุนเกิดความวิตกกังวล ส่งผลให้ออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง
ขณะที่ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เมื่อวันที่ 3 ม.ค.2563 ปิดตลาดที่ 28,634.88 จุด ร่วง 233.92 จุด ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐถูกเทขายเพื่อเข้าซื้อสกุลเงินปลอดภัย อาทิ เยนและฟรังก์สวิส ทำให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง ส่วนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้รับแรงหนุนเช่นกัน ซึ่งแรงซื้อพันธบัตรกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐให้ปรับตัวลง
สอดคล้องกับ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ได้จัดงานเสวนา IAA HOT ISSUE ในประเด็น “เจาะลึกผลกระทบประเด็นสหรัฐ-อิหร่าน” ว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา การที่สหรัฐมีการสังหาร นายพลกัสเซม โซเลมานี ของอิหร่าน โดยประเมินว่า สหรัฐ จะใช้วิธีตอบโต้อิหร่านด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการโจมตีทางทหารเป็นครั้งคราวแต่ไม่รุนแรง
ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ และอิหร่านที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ 2 ครั้งก่อน ถือว่าครั้งนี้สหรัฐ โดดเดี่ยวมากโดยมีประเทศอังกฤษที่ออกมาสนับสนุนเท่านั้น ซึ่งต่างจาก 2 ครั้งก่อนที่มีพันธมิตรเข้ามาร่วมค่อนข้างมาก
“ประเมินสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะยืดเยื้อราว 5-10 เดือนไปจนถึงการเลือกตั้งสหรัฐ ในช่วงเดือน พ.ย. 2563 หรือจนกว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แพ้การเลือกตั้งเหตุการณ์น่าจะจบลงได้ เพราะเหตุผลที่เกิดส่วนหนึ่งทรัมป์น่าจะหวังผลทางการเมือง”
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้การตอบโต้กันของสหรัฐ และอิหร่าน น่าจะเป็นแบบกองโจรและคาดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้สหรัฐ น่าจะมีโอกาสชนะประมาณ 40% เพราะอิหร่านน่าจะทนแรงกดดันจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจไม่ไหว และเหตุการณ์ไม่น่าจะถูกยกระดับเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3
มีปัจจัยลบต้องมีบวก ตามสัจธรรมของโลก ที่นักลงทุนต้องหนีจากสินทรัพย์ประเภทเสี่ยงสูง อย่าง “ตลาดทุน” ไปหา “สินทรัพย์ปลอดภัย” และหนึ่งในนั้นคือตลาด “ทองคำ” ที่บรรดาเหล่า “นักลงทุน” ยกให้เป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe Haven” ในยามที่สถานการณ์โลกไม่ปลอดภัย สะท้อนผ่านราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปทำ “จุดสูงสุด” (New High) อยู่ที่ 1,611 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2563) ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบ 7 ปี
11 เดือนที่เหลือของปี 2563 ทิศทางราคาทองคำจะเป็นอย่างไร ไปฟังทัศนะจาก “กูรูตลาดทอง”
“ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS บอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ว่า ประเมินทิศทางราคา “ทองคำ” ปี 2563 เป็นเชิงบวกที่ราคากำลังเข้าสู่ตลาด “ขาขึ้น” ด้วย “2 ปัจจัย” คือ “ความตึงเครียดสหรัฐ-อิหร่าน” ที่ดูเหมือนสถานการณ์จะเริ่มคลายความกังวลแล้ว และมีทิศทางดีขึ้น หลังประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์”ประกาศไม่ตอบโต้อิหร่านด้วยกำลังทหาร รวมทั้งการถูกจำกัดสิทธิ์การใช้กำลังทางทหารกับอิหร่าน
ทว่า ในมุมมองเชื่อว่าช่วงที่เหลืออีก 11 เดือนของปีนี้ จะต้องมีเหตุการณ์กระทบกระทั้งเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาอย่างแน่นอน ประเมินจากนายพลกัสเซม โซเลมานี ของอิหร่าน เป็นบุคคลที่ประชาชนอิหร่านเคารพมาก ดังนั้น สถาการณ์แบบนี้จะยังคงสร้างความไม่แน่นอนให้ปกคุม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง แต่จะเป็นผลดีต่อสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างทองคำ ซึ่งตอนนี้นักลงทุนรอดูท่าทีของอิหร่าน
แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าเหตุการณ์จะไม่รุนแรงจนถึงระดับก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก เนื่องจากท่าทีของประเทศมหาอำนาจต่างๆ ไม่ได้ออกมาสนับสนุนสหรัฐฯ เฉกเช่น สงครามโลกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา เพราะว่าสถานการณ์ตอนนี้ของทุกประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ฉะนั้น แต่ละประเทศคงไม่มีนโยบายนำเงินออกมาใช้จ่ายในเรื่องของสงครามแน่นอน แต่ทุกประเทศมหาอำนาจจะต้องมุ่งประเด็นแก้ปัญหาในเรื่องของเศรษฐกิจก่อน
การตอบโต้จะเป็นในรูปแบบที่สหรัฐ กดดันอิหร่านในด้านเศรษฐกิจมากกว่า หรือ อิหร่านจะตอบโต้สหรัฐ ด้วยกำลังทางทหารแบบไม่รุนแรง แต่ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยแต่ไม่ถึงขึ้นสงคราม
และอีกประเด็นคือ “เศรษฐกิจชะลอตัว” โดยปี 2563 นั้น ประเมินว่าเศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่จะชะลอตัวทั้ง สหรัฐ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และ จีน ส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง “ลดลง” ประกอบกับมองว่าปีนี้แต่ละประเทศต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก โดยเฉพาะการทำ “มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน” (QE) ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินทั่วโลกเข้ามาในระบบ ส่งผลให้ค่าเงินมีมูลค่าลดลง
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการประชุม “ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด” ที่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยจนถึงไตรมาส 3 ปี 2563 และคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ และปัจจัยที่น่าจับตามองในช่วงปลายปี 2563 คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และหาก “โดนัล ทรัมป์” ได้รับการเลือกตั้งอีกสมัยและเป้นประธานาธิบดีต่ออีก คาดว่าจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากนโยบายสหรัฐฯ มาก่อน
“มองว่าประเด็นระหว่างสหรัฐ และอิหร่านยังไม่จบง่ายๆ ตอนนี้ทุกคนรอดูว่าอิหร่านจะตอบโต้สหรัฐฯ อย่างไร ซึ่งในปีนี้ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 11 เดือน”
ทั้งนี้ มองเป้าหมายราคาทองคำปี 2563 อยู่ที่ 1,450-1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามแรงหนุนจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ซึ่งหากมีความรุนแรงจะทำให้ “ทองคำ” เป็นสินทรัพย์ Safe Haven ในภาวะที่ทั่วโลกมีความไม่แน่นอน โดยราคาทองคำให้ “ผลตอบแทน” เฉลี่ยที่ผ่านมา 4.3% ต่อปี แต่ว่าตั้งแต่ปลายปี 2562 ถึง ปัจจุบันผลตอบแทนทองคำอยู่ที่ราว 10% ซึ่งผลตอบแทนขนาดนี้คงหาได้ยากในภาวะแบบนี้
อย่างไรก็ตาม มองแนวโน้มราคาทองคำในปีนี้เป็นขาขึ้น แม้ว่าระยะสั้นอาจจะย่อตัวลงบ้าง แต่เชื่อว่าระยะยาวจะเป็นขาขึ้นแน่นอน ปัจจัยหนุนราคาทองคำหลายเรื่องทั้งการเจรจาการค้าที่แม้ว่าจะมีข้อตกลงกันได้เฟสแรก แต่ก็ยังมีการเจรจารอบอื่นๆ ที่ยังไม่แน่นอน , การใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารสหรัฐฯ (เฟด) , ความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ อาทิ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่อาจยืดเยื้อและแรงกดดันของเกาหลีเหนือ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนกดดันหุ้นทั่วโลกให้ปรับฐาน และนักลงทุนจะย้ายมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น
สำหรับ “กลยุทธ์” แนะนำลงทุนในทองคำในปีนี้ ให้ เพิ่มสินทรัพย์ประเภททองคำในพอร์ตฟอลิโอเป็น 20-30% และลดการถือครองหุ้นเหลือ 70-80% จากปี 2562 ที่แนะนำลงทุนในทองคำ 10% และลงทุนในหุ้น 90% หลังปัจจัยที่กระทบสินทรัพย์เสี่ยงยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
“พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) บอกว่า ปัจจัยความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับสหรัฐถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางราคาทองในปี 2563 สะท้อนผ่านหลังเกิดเหตุการณ์สังหารผู้นำระดับสูงของอิหร่าน ส่งผลให้ราคาทองคำทะยานขึ้นถึง 21.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา สวนทางกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ที่ปรับตัวลดลง
“ในปี 2563 ถือเป็นปีที่ตลาดทองคำมีความคึกคักเนื่องจากปัจจัยบวกหลายด้านจากความไม่แน่นอนทางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกทำให้นักลงทุนหันมาถือสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงเช่นทองคำมากขึ้น”
ทั้งนี้ ประเมินว่า ราคาทองคำในปีนี้ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทาง “ขาขึ้น” โดยมีโอกาสที่ราคาทองคำจะขยับขึ้นต่อเพื่อทดสอบระดับ 1,603-1,616 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 22,900-23,100 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. ปี 2556 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับสหรัฐทวีความรุนแรงขึ้นจะยิ่งเพิ่มโอกาสที่ราคาทองคำจะสามารถทะลุผ่านกรอบแนวต้านแรก
“แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะสนับสนุนแนวโน้มทองคำให้ปรับตัวขึ้น แต่ยังต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรที่จะสลับออกออกมาเป็นระยะ”
แต่ที่สำคัญ คือ นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนในสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงระมัดระวังแรงขายคำในระยะสั้นหากสถานการณ์ไม่ทวีความรุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายวิตก
----------------------
นักลงทุนแห่ซื้อ“ทองพุ่ง”..!!
“ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล” ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทองคำ บอกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือน ม.ค. 2563 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา จากระดับ 55.24 จุด มาอยู่ที่ระดับ 63.15 จุด เพิ่มขึ้น 7.91 จุด หรือคิดเป็น 14.32 % โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นนั้นมาจากปัจจัยหลักคือ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง และ ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำระยะสามเดือนในไตรมาสแรกของปี 2563 (ม.ค.-มี.ค.) ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 จากระดับ 56.92 จุด มาอยู่ที่ระดับ 66.36 จุด เพิ่มขึ้น 9.44 จุด หรือคิดเป็น 16.59% โดยนักลงทุนคาดว่ามีปัจจัยมาจากความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ทิศทางราคาน้ำมัน และสถานการณ์สงครามการค้า ตามลำดับ
จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 312 ตัวอย่าง พบว่าร้อยละ 38.14 จะซื้อทองคำในช่วงเดือนนี้ ขณะที่ร้อยละ 35.58 คาดว่ายังไม่ซื้อทองคำ และร้อยละ 26.28 ไม่แน่ใจว่าจะซื้อทองคำหรือไม่
สรุป กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่และผู้ประกอบกิจการนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่อ้างอิงกับราคาทองคำจำนวน 10 ตัวอย่าง เชื่อว่าราคาทองคำในเดือน มกราคม 2563 จะเพิ่มขึ้น มีจำนวน 7 ราย คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับราคาทองคำในเดือน ธันวาคม 2562 มีจำนวน 2 ราย และคาดว่าราคาทองคำจะลดลง มีจำนวน 1 ราย
สำหรับการคาดการณ์ราคาทองคำในเดือน มกราคม 2563 ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่มีมุมมองดังนี้ Gold Spot ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 1,502-1,586 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 21,500-22,600 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาท ทองคำ และด้านค่าเงินบาทไทยให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 29.77-30.44 บาทไทยต่อดอลลาร์
สำหรับ การลงทุนทองคำในเดือน มกราคม 2563 ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ ให้ความเห็นว่าราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมามีการดีดตัวขึ้นสูง หากมีแรงขายทำกำไรออกมา คาดว่าจะเป็นเพียงแรงขายในระยะสั้น โดยราคาทองคำมีโอกาสที่จะขยับขึ้นต่อ จึงแนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะเข้าซื้อ เมื่อราคาทองคำย่อตัวลงมาใกล้บริเวณแนวรับ 1,498 และเพื่อลดความเสี่ยงควรตั้งจุดทำกำไรและตัดขาดทุนหากราคาทองคำไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์
-----------
"โกลด์ฟิวเจอร์ส"คึกคัก!
“ฐิภา นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) บอกว่า จากกรณีความไม่แน่นอนสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงอย่างทองคำมากขึ้น และความคึกคักนี้ยังได้รวมไปถึง “ตลาดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า” (Gold Futures) ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น
อีกทั้งปี 2563 ประเทศไทยจะมีการเปิดประมูล 5G ซึ่งก็จะสนับสนุนให้ระบบในการซื้อขายถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยล่าสุด YLG ได้พัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการลงทุนใน Gold Futures ด้วยการนำระบบเทรด Metatrader 4 ( MT4) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมทั่วโลกสามารถส่งคำสั่งได้ทั้งระบบการเทรดมือ (Manual Trade) รวมถึงระบบเทรด (System Trading) หรือ Robot Trading
โดยระบบ MT4 มีเครื่องมือหลายอย่างที่จะช่วยนักลุงทุนทั้ง การส่งคำสั่งบนกราฟได้ (Trade on Chart) สำหรับการเทรดแบบ Manual โดยไม่ต้องเปลี่ยนหน้าจอสลับไปมา รวมถึงสามารถบริหารความเสี่ยง ด้วยการตั้งจุดตัดขาดทุน ( Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ได้ แม้เป็นคำสั่งที่ส่งไปรอไว้แต่ยังไม่เกิดการซื้อขายจริง ซึ่งฟังก์ชั่นนี้ถือว่ามีความสำคัญ สามารถรองรับการขยายเวลาซื้อขายของ TFEX Gold Futures ถึงเวลา 03.00 โดยนักลงทุนสามารถตั้งคำสั่งซื้อ-ขาย ทิ้งไว้ที่แนวรับหรือแนวต้าน
“การให้บริการบนแพลตฟอร์ม MT4 นี้ YLG ได้เปิดให้บริการกลางเดือน ม.ค. 2563 จากการพัฒนาครั้งนี้มั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของ YLG ได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักลงทุนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล”