แอล.พี.เอ็น. คาดอสังหาฯปี 63 ติดลบ3% เหตุเศรษฐกิจชะลอ เปิดตัว 10 โครงการ มูลค่า 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ถอยทัพเข้าซอย บุกแนวราบเกือบครึ่ง เร่งระบายสต็อกค้าง5พันล้านบาทจากหมื่นล้านบาท ตั้งเป้าหมายยอดขายปี 63 แตะหมื่นล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2563 ว่าถือเป็นปีที่ท้าทายอีกปีหนึ่ง แม้ภาคอสังหาฯได้ผ่านพ้นจุดที่ยากที่สุดมาแล้วในปีที่ผ่านมา หากไม่นับรวมปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่ในปี 2540 และในปี 2563 ยังถือเป็นปีที่ยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลากหลายด้าน โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมไปถึงมาตรการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งผลทำให้กำลังซื้อลดลง ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาฯในปีนี้จะยังคงมีแนวโน้มชะลอตัว โดยคาดว่าจะยังคงติดลบ 3% เมื่อเทียบกับปี 2562 ตามทิศทางของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต ที่ 2.5 – 3.0
“ปีที่แล้วบอกว่าเป็นปีพายุตั้งเค้าแต่สถานการณ์ดีในช่วงต้นปี และได้รับผลกระทบช่วงกลางปี ทำให้แอล.พี.เอ็น. ปรับตัวได้แม้จะเป็นปีที่เหนื่อยและหนักใจที่สุด แต่กลับมาดีขึ้นในช่วงปลายปี จนทำให้กระจายรายได้จากหลากหลายธุรกิจ ทำให้ธุรกิจมีการปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มกำไร ในขณะที่ยอดขายและรายได้ลดลงจากปีก่อนหน้า”
นายโอภาส ยังกล่าวว่า ปี 2563 เป็นปีที่จะต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษารายได้และกำไร ในสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวและแข่งขันรุนแรง ประกอบด้วย กลยุทธ์เข้าซอย การมุ่งเน้นทำเลที่ห่างไกลจากรถไฟฟ้าไม่เกินรัศมี 1 กิโลเมตร เพื่อรักษาระดับราคาที่พักอาศัยที่คนเข้าถึงได้ ในระดับ1ล้านบาทต่อยูนิต หรือ ราคาต่ำสุดเริ่มต้นที่ 50,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) รวมไปถึงการกระจายตัวเปิดโครงการที่พักอาศัย แนวราบ
“กลยุทธ์เข้าซอย คือการเลือกซื้อที่ดินที่อยู่ในที่ดินที่อยู่ในซอยแต่ไม่ไกลจากถนนใหญ่หรือแนวรถไฟฟ้ามากนัก เพื่อให้ต้นทุนในการซื้อที่ดินต่ำกว่าติดถนนกว่าครึ่งหนึ่ง จึงทำราคาได้ไม่สูงเกินไป คนสามาถเข้าถึงได้ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำลังซื้ออยู่จริง (Real Demand) ซึ่งยังมีอยู่มาก ซึ่งราะดับราคา หมื่นต่อตร.ม. นั้นไม่เห็นมาหลายปี จุดแข็งของแอล.พี.เอ็น. อยู่ตรงต้นทุนที่ต่ำ และความรวดเร็วในการก่อสร้าง”
โดยในปี 2563 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 12,000 - 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของแนวราบ 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นบ้านแฝดกลางเมือง อาทิเมืองทอง, สุขุมวิท113, ลาดกระบังและพลโยธิน54/1
ส่วนโครงการ คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่าประมาณ 7,000 - 8,000 ล้านบาท ประกอบด้วย เตาปูน, จรัญสนิทวงศ์,นราธิวาส, แจ้งวัฒนะ 17และเอกชัย
สำหรับยอดขายในปี 2562 มีมูลค่า 7,000 ล้านบาท ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ยังรักษาผลกำไร โดยมีการปรับโครงสร้างธุรกิจที่มีการกระจายรายได้เพื่อลดความเสี่ยงในการเติบโตยั่งยืนในอนาคต โดยรายได้จากภาคที่อยู่อาศัยยังเป็นรายได้หลัก 80-90% โดยมีเป้าหมายปี 2563จะเพิ่มรายได้ประจำ(Recurring Income) ซึ่งมาจากการเช่าสัดส่วน 20% และการบริการด้านการบริหารอาคารสัดส่วนประมาณ 10%
ทั้งนี้ปัจจุบันปี 2563 มีสินค้าคงค้างที่พร้อมโอน (สต็อก) มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะขายได้มูลค่า 5,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายรวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท ส่งผลทำให้รายได้เติบโตจากปีก่อนเล็กน้อย