'แสนสิริ' พลิกจับตลาดแมส ลุ้นยอดโอนลูกค้าจีนไตรมาส 2
‘แสนสิริ’ ชี้อสังหาฯขาลง แตะเบรก ปรับลดโครงการเหลือ 18 โครงการ มูลค่า 2.4 หมื่นล้าน หันมาโฟกัสตลาดแมส ทั้งคอนโด บ้านระดับกลาง-ล่าง ราคาตั้งแต่ 1.6-5 ล้านบาท แทนตลาดลักชัวรี ลุ้นยอดขายรอโอนคอนโดจากจีน 500 ยูนิตจาก 8 โครงการ ในไตรมาส2
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังคงชะลอตัวไม่ต่างจากปี 2562 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดต่างประเทศได้รับผลกระทบ เพราะลูกค้าไม่สามารถเดินทางได้โดยเฉพาะลูกค้าจีนที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่มีสัดส่วน 50% จากภาพรวมลูกค้าต่างประเทศทั้งหมด ดังนั้นในปีนี้บริษัทปรับแผนให้เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจด้วยการลดจำนวนโครงการคอนโดมิเนียม ลงเหลือแค่ 6 โครงการ แล้วหันมารุกตลาดแนวราบ ประกอบไปด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ เพราะเป็นตลาดที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริง (เรียลดีมานด์) และมีอัตราการเติบโตดี
โดยในปีนี้ บริษัทได้แผนเปิดตัวโครงการใหม่ 18 โครงการ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโด 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท ทาวน์โฮมและมิกซ์ โปรเจค 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในเซกเมนต์กลาง (Medium) และ ล่าง (Affordable) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของแสนสิริง่ายขึ้น โดยจะมีระดับราคาตั้งแต่ 1.6-5 ล้านบาทมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทเน้นฐานลูกค้าระดับบนในกลุ่มลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรี อาทิ 98 ไวร์เลส, เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คุณ บาย ยู และบ้าน
จากแผนดังกล่าว ทำให้คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขาย 29,000 ล้านบาทในปีนี้ เติบโตขึ้น 40% จากปีก่อนที่มียอดขาย 21,000 ล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายการโอนไว้ 33,000 ล้านบาท
นายอุทัย ยังกล่าวว่า จากนี้ไปบริษัทเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในตลาดแมสมมาร์เก็ตที่มีดีมานด์ ด้วยการพัฒนาโครงการ ภายใต้แบรนด์ดีคอนโด, เดอะเบส, สิริ เพลส, อณาสิริ, สราญสิริ รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการไปในย่านชุมชน ในราคาเข้าถึงง่าย และคุ้มค่า ล่าสุด กำลังจะเปิดตัว ดีคอนโด รามคำแหง 40 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้ม พ.ค.นี้ พร้อมกับพัฒนาโครงการไปในทำเลใหม่ อาทิ ย่านสุวรรณภูมิ ภายใต้โครงการสราญสิริ ศรีวารี และการเข้าไปยังทำเลป่าคลอก ภูเก็ต ของแบรนด์อณาสิริ
ในส่วนคอนโด เตรียมส่งมอบโครงการคอนโดพร้อมอยู่ถึง 8 โครงการ ในปีนี้ ได้แก่ ดีคอนโด ริน เชียงใหม่, ดีคอนโด บลิซศรีราชา, เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่,เอ็กซ์ที เอกมัย, เอ็กซ์ที ห้วยขวาง, คาวะ เฮาส์ และลา ฮาบาน่า หัวหิน โดยคอนโดมีเนียมที่พร้อมโอนในปีนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า มียอดขายแล้ว 60% จากมูลค่าโครงการรวม 24,000 ล้านบาท
นายอุทัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายจากตลาดต่างประเทศราว 1 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 2562 ลดลงเหลือ 3,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ล่าสุดบริษัทยอดขายรอโอนคอนโดจากจีนประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือ 500 ยูนิต จากจำนวน 8 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง สามารถเริ่มโอนได้ในไตรมาส 2 ปีนี้คาดว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายและทุกอย่างจะดีขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามแผนเดิมภายใน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2565 จะมียอดขาย อยู่ที่ 160,000 ล้านบาท คาดว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง และสภาพเศรษฐกิจยังไม่เอื้อต่อการเปิดตัวโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูง จึงเน้นขยายแมสมาร์เก็ต ในระดับราคา 1.69-5 ล้านบาท และไม่เปิดตัวกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียม จากปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วน 2%
“สภาพตลาดเช่นนี้ก็ค่อนข้างลำบากในการทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เราไม่ต้องการฝืนตลาด จึงเปิดตัวโครงการลดลงโดยการลดจำนวน และขนาดโครงการ ซึ่งแม้แสนสิริ จะไม่เป็นนักพัฒนาอสังหาฯ ที่ติด 1 ใน 5 ของธุรกิจในแง่ของกำไร แต่เรายังมองไปข้างหน้าและไม่หยุดแค่เพียงเท่านี้ แต่จะเน้นการขยายธุรกิจเพื่อสร้างแบรนด์และธุรกิจที่ยั่งยืนในอนาคต”
สำหรับลูกค้าตลาดจีนมีสัดส่วน 50% จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ต่างชาติทั้งหมดมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะมียอดโอนในปีนี้อยู่ที่ 2,500-3,000 ล้านบาท ซึ่งมีลูกค้าจีนบางรายที่ขอยืดการโอนออกไปจากกำหนดทางบริษัทจะพิจารณาความเหมาะสมให้ยืดเวลาการโอน โดยทางบริษัทจะมีกลยุทธ์จูงใจให้ลูกค้าที่กำลังรอโอนเข้ามาการเร่งโอนโดยมอบส่วนลด 3-10% ให้ลูกค้าที่ผ่านชำระเงินดาวน์ครบ 30% เพื่อให้ลูกค้าบางรายที่มีความพร้อมเข้ามาเร่งโอน เพื่อจูงใจให้เร่งการโอนได้
“ช่วงนี้ยอมเข้าใจลูกค้าเพราะเดินทางมาไทยไม่ได้ เศรษฐกิจโลกก็ชะลอตัว แต่เชื่อว่าลูกค้าจีนยังต้องการเข้ามาซื้ออสังหาฯ และชอบเมืองไทย หลายรายต้องการที่จะเข้ามาพำนักในไทยหลังเกษียณการทำงาน จึงต้องรักษาฐานลูกค้าจีนไว้”