Liquidation

Liquidation

ดัชนีวานนี้ปิดปรับตัวร่วงลงแรงกว่า 134 จุด เช่นเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค หลังดัชนีดาวโจนส์ และฟิวเจอร์ ปรับตัวลงรวมกันกว่า 10%

หลัง WHO ประกาศโควิด-19 เป็นโรคระบาดทั่วโลก ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,114.91 จุด (-134.98 จุด) Volume 1 แสนลบ. ต่างชาติ -1,928.87 ลบ. TFEX Net +28,243 สัญญา

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

+เฟดประกาศอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบธนาคาร เพิ่มประเภทของหลักทรัพย์ในการซื้อพันธบัตรของเฟด เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

+ก.คลัง-ตลท.-ธปท.ศึกษากองทุนพยุงหุ้นหาวิธีดีที่สุดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันหลังไม่ได้ใช้มานาน เล็งทบทวนธุรกรรม short sell

-ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 2,352.60 จุด -9.99% โดยต้องใช้ระบบ circuit breaker พักการซื้อขาย 15 นาที ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 1.48 ดอลลาร์ -4.5% ปิดที่ 31.50 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศระงับการเดินทางจากประเทศในยุโรปเข้าสู่สหรัฐที่เพิ่มความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโควิด-19 และกดราคาหุ้น กลุ่มสายการบินร่วงหนัก

-ตลาดหุ้นโตเกียวเปิดร่วงมากกว่า 6% ลงต่ำกว่า 18,000 จุด ลงหนักสุดตั้งแต่แบล็กมันเดย์” 19 ต.ต. 2530

-ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิด -7.36% วิตกโควิด-19 เกินควบคุม

-สหรัฐเผยดัชนี PPI -0.6% ในเดือนก.พ. ร่วงหนักสุดในรอบ 5 ปี

+/-ECB มีมติคงดอกเบี้ยแต่เพิ่มวงเงิน QE อีก 1.2 แสนล้านยูโรถึงสิ้นปี

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 70,182.29 ลบ. ค่าเงินบาท 31.50 บาท/US

*จับตาสหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค. และราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.พ.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงต่อ แรงกดดันหลักยังคงอยู่ที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศระงับการเดินทางจากประเทศในยุโรปเข้าสู่สหรัฐ ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงแรงกว่า 2,300 จุด ขณะที่สถานการณ์ในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าจะเข้าสู่การระบาดในระยะ 3 คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,050-1,100 จุด

กลยุทธ์การลงทุน

  • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (TU CPF)
  • หุ้น Defensive (RATCH TTW ADVANC CHG)
  • หุ้น High Dividend Yield (KKP TISCO INTUCH)
  • เก็งกนง.ลดดอกเบี้ย (BAM MTC BFIT AMANAH)

หุ้นรายงานพิเศษ

AU (ราคาเหมาะสม10.20) แนะนำ ซื้อคาดหวังผลประกอบการฟื้นในช่วง 2H63

เราคาดรายได้ปี 63 ราว 1.28 พันลบ. +6%YoY เติบโตในอัตราที่ลดลงจากปีก่อนที่บวกกว่า 37% หลังจากในปีนี้ บริษัทจะดำเนินกลยุทธ์ Selective Growth เนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติตามสาขาหลักใจกลางเมือง โดยบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็น 15-20% ของรายได้รวม อย่างไรก็ดี บริษัทมีการเจรจาต่อรองขอลดค่าเช่าพื้นที่แล้ว โดยผู้บริหารยังคงตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีก 6 สาขา แต่ลดขนาดของสาขาลง นอกจากนี้ยังปรับใช้ 2 New models ของสาขา Pop-Up stores คือ 1) Semi-permanent Store มี Dining area ระยะเวลา 3 เดือน - 1 ปี และ 2) Small Kiosk ไม่มี Dining area ระยะเวลา 1-4 สัปดาห์ ปัจจุบันมีสาขา Pop-up Stores 8 แห่ง และคาดเปิดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10 แห่งต่อเดือน ส่วน %GPM คาดจะปรับลงมาที่ระดับ 64% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 65% ตามยอดขายที่คาดว่าจะปรับตัวลง ส่งผลให้เราคาดกำไรปี 63 อยู่ที่ 246 ลบ. โต 3.5%YoY อย่างไรก็ดี เรายังไม่รวมอัพไซต์จากการเปิดแฟรนไชส์ในฮ่องกงที่คาดว่าจะเปิดบริการในช่วง 3Q63

เราปรับลดราคาเหมาะสมสู่ 10.20 จากเดิมที่ 12.90 บาท ตามสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอย และจำนวนนักท่องเที่ยวที่หดตัว ขณะที่ เราประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี DCF โดยใช้ WACC เท่ากับ 9% และปรับ Terminal Growth ลงจาก 5.5% มาที่ระดับ 5% อย่างไรก็ดี ราคาเหมาะสมอยู่สูงกว่าปัจจุบัน จึงคงคำแนะนำ ซื้อคาดหวังผลประกอบการฟื้นในช่วง 2H63

หุ้นมีข่าว   

·       (+) GUNKUL (Bloomberg Consensus 3.69 บาท) ส่งซิกงบ Q1 แจ่ม! หลังบุ๊กโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม-ญี่ปุ่นกว่า 94 MW แย้มเจรจาซื้อวินด์ฟาร์มเวียดนาม คาดสรุป Q3 นี้ จ่อประมูลงานอีก 4 หมื่นล้านบาท ฟาก WHAUP เล็งซื้อโซลาร์ฯเวียดนาม 3 โครงการ กำลังผลิตรวม 360 เมกะวัตต์ (ที่มา ข่าวหุ้น)

·      (+) JWD (Bloomberg Consensus 9.53 บาท)  เร่งปิดดีลเจรจาซื้อกิจการในไทยภายในปีนี้ แย้มอยู่ระหว่างเจรจา 2 บริษัท คาดมูลค่าลงทุนไม่เกิน 1 พันล้านบาท ส่วนรายได้ปีนี้มั่นใจโตเข้าเป้า 10% ชี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากไรวัสโควิด-19  (ที่มา ข่าวหุ้น)

·      (+) TVD (Bloomberg Consensus - บาท) พลิกกลยุทธ์รับไวรัสโควิด-19 ลุยเพิ่มยอดขายช่องทางออนไลน์ ตั้งเป้ายอดขายออนไลน์ปีนี้โต 10% รุกเพิ่มความถี่ทำ Facebook Live พร้อมผนึกแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ จัดโปรโมชั่นสุดฮอตตลอดเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ พร้อมเสริมทีมคอลเซ็นเตอร์และเติมสินค้าอีกกว่า 100 รายการ รองรับความต้องการผู้บริโภค (ที่มา ข่าวหุ้น)

·      (+) SEAFCO (Bloomberg Consensus 8.32 บาท)  รอลุ้นผลประมูลงานใหม่ 1.9 หมื่นล้านบาท คาดปีนี้จะมีงานใหม่เพิ่มอีกกว่า 2 พันล้านบาท ตั้งเป้าโกยรายได้ปีนี้ 3.3 พันล้านบาท โต 10% ตุนแบ็กล็อกรอบุ๊ก 2.57 พันล้านบาท ทุ่มงบลงทุนปีนี้กว่า 150 ล้านบาท ส่วนราคาน้ำมันลงแรงช่วยลดต้นทุน 3.5-7% ขณะที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดยังไม่กระทบผลการดำเนินงานในปัจจุบัน (ที่มา ทันหุ้น)

·      (+) RATCH (Bloomberg Consensus 76.18 บาทเผยลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นเพื่อเข้าซื้อหุ้น NER Singapore Pte.Ltd ในสัดส่วน 49% คิดเป็นเงินประมาณ 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่าประมาณ 662 ล้านบาท) จาก Nexif Energy Thailand B.V. เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้ารายเล็ก จ.ระยอง คาด COD ปี 2565 (ที่มา ทันหุ้น)

·      (+/-) BGRIM (Bloomberg Consensus 51.23 บาท)  ตอบรับมาตรการรัฐลดค่าไฟฟ้าช่วยเหลือประชาชนกระทบรายได้เพียง 0.17% ย้ำรายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบ เดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง ฟาก GPSC ชี้มาตรการชั่วคราวไม่กระทบผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ มองราคาน้ำมันลงหนุนต้นทุนการผลิตลด (ที่มา ทันหุ้น)

·      (+) BEM (Bloomberg Consensus 11.67 บาท)  โบรก ส่อง BEM ปี 2563 กำไรปกติยังคงเติบโต 54% สู่ 3.9 พันล้านบาท ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง 20% สะท้อนผลกระทบด้านลบระยะสั้นจาก โควิด-19 ชี้โอกาสเข้าซื้อสะสม เล็งปริมาณจราจรและจำนวนผู้โดยสารน่าจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง (ที่มา ทันหุ้น)