ขาดความเชื่อมั่น

ขาดความเชื่อมั่น

นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำยังแนะนำถือเงินสด (Wait&See) ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงหาจังหวะที่ตลาดหุ้น Panic เข้าซื้อเก็งกำไรช่วงสั้น

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ร่วงแรงจนต้องใช้ Circuit Breaker นักลงทุนเทขายหลัง โดนัล ทรัมป์ สั่งระงับการเดินทางจากยุโรปเข้าสหรัฐเป็นเวลา 30 วัน (ยกเว้นอังกฤษ) และ ไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 เพิ่มขึ้น 11 ราย เสี่ยงต่อการระบาดเข้าสู่ Level 3 กดดันให้ SET ร่วงแรงกว่า 135 จุด (-10.8%) ปิดที่ระดับ 1,115 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 1 แสนล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 อีก 1,929 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตรต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 อีก 13,646 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX 28,243 สัญญา ต่อเนืองเป็นวันที่ 2

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เราคงมุมมองเป็นลบคาด SET Index มีโอกาสปรับตัวลงทดสอบแนวรับที่ระดับ 1,080-1,050 จุด เนื่องจากตลาดหุ้นบ้านเรายังไม่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวทำให้ภาวะการซื้อขายในระยะนี้จะเป็นไปตาม Sentiment ของตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งวันนี้ส่วนใหญ่ยังปรับตัวลงเพราะนักลงทุนยังกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่ยังเร่งตัวขึ้นโดยเฉพาะในยุโรป และในสหรัฐ ส่วนสถานการณ์ในบ้านเรายังมี Over hang จากการประกาศสู่ระดับ 3 นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำยังแนะนำถือเงินสด (Wait&See) ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงหาจังหวะที่ตลาดหุ้น Panic เข้าซื้อเก็งกำไรช่วงสั้น โดยเฉพาะหุ้นที่ปรับตัวลงแรงและมีปันผลจ่ายสม่ำเสมอและให้ Dividend yield สูง

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่ม Defensive และปันผลสูง ADVANC, INTUCH, TTW
  • กลุ่มค้าปลีก (CPALL, HMPRO, BJC) กำลังซื้อเพิ่มหลังรัฐคืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้าวงเงินรวม 30,000 ล้านบาท
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, KTC) ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง

หุ้นแนะนำวันนี้

  • ADVANC (ปิด 173.5 ซื้อ/เป้า 247 บาท) ราคาหุ้นปรับตัวลงเป็นโอกาสในการเข้าสะสม 1) ได้รับผลกระทบจากไวรัส Covid-19 น้อยสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ 2) เป็นหุ้น Big Cap ที่ผลกำไรมั่นคงจ่ายปันผลสม่ำเสมอและให้ Dividend yield สูง (ADVANC คาดปี 2020 จะจ่ายปันผล 7.9 บาทต่อหุ้นให้ Dividend yield ประมาณ 4.6%)
  • CPALL (ปิด 61.75 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 88 บาท) คาดได้ประโยชน์มากสุดจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ (คืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า 21 ล้านครัวเรือนมูลค่า 30,000 ล้านบาท) เนื่องจากมีสาขากระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ

บทวิเคราะห์วันนี้

Media Sector (Top pick: VGI), Property Sector (Top pick: LH)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) ดาวโจนส์ร่วง 2,353 จุด หลังทรัมป์สั่งระงับการเดินทางจากยุโรปเข้าสหรัฐ สะกัดการระบาดของไวรัส Covid-19: ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ผันผวนรุนแรงแม้ระหว่างวัน Fed จะประกาศอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อเพิ่มสภาพคล่องกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ก็ไม่สามารถลดความตื่นตระหนกต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ลงไปได้ โดยวานนี้ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2,352.60 จุด (-9.99%) ปิดที่ระดับ 21,201 จุด (ลดลงหนักสุดนับตั้งแต่เกิดแบล็คมันเดย์เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 1987) นักลงทุนเทขายหุ้นและสินทรัพย์ต่างๆหลังจากโดนัล ทรัมป์ สั่งระงับการเดินทางจากยุโรปเข้าสู่สหรัฐเป็นเวลา 30 วัน (ยกเว้นอังกฤษ) เนื่องจากกังวลว่าการระงับการเดินทางดังกล่าวจะทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจต่างๆหยุดชะงักและมองว่าการแพร่ระบาดอาจจะรุนแรงมากกว่าที่คาดกันไว้  โดยล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 134,559 ราย เสียชีวิต 4,972 ราย ส่งผลให้ทุกประเทศในยุโรปรวมถึงสหรัฐมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เร่งตัวขึ้นอย่างน่ากังวล
  • (-) ผิดหวังประชุม ECB ไร้มาตรการหนุนโดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% แต่เพิ่มเงินโครงการ QE ไปจนถึงสิ้นปี: ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปเป็นกลุ่มตลาดที่ดัชนีร่วงหนักมากที่สุดในเมื่อวานที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำสั่งแบนของโดนัล ทรัมป์ และผิดหวังที่ธนาคารกลางยุโรปไม่ได้มีมาตรการที่มากพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือสะกัดการระบาดของไวรัส Covid-19 โดย ECB คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับธนาคารกลางที่ -0.5% ผิดจากที่ตลาดคาดว่าจะลดลงเป็น -0.6% อย่างไรก็ตาม ECB ยังเพิ่มวงเงิน QE เข้าสู่ระบบอีก 1.2 แสนล้านยูโรไปจนถึงสิ้นปี จากเดิมที่มีวงเงิน QE อยู่แล้ว 2 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน (ตลาดมองน้อยเกินไป)
  • (+) สัปดาห์หน้าคาดหวัง Fed ลดดอกเบี้ยอีก 0.75% และนำโครงการ QE กลับมาใช้: ด้วยดัชนีตลาดหุ้นที่ลดลงอย่างหนักทั้งในสหรัฐ ยุโรป และภูมิภาคอื่นๆ ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจมีสัญญาณชะลอตัวมากขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ยังเร่งตัวขึ้นในทุกพื้นที่ของโลก ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่า Fed จะต้องอัดมาตรการรองรับและกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมต่อเนื่องจากช่วงต้นเดือนที่ Fed ได้ลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.5% ไปแล้ว โดยตลาดยังคาดหวังว่าเฟดอาจจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.75-1% และคาดว่าจะนำเอาโครงการ QE กลับมาใช้อีกครั้งเหมือนกับช่วงวิกฤติ Hamburger ทั้งนี้ CME Group มองมีความน่าจะเป็น 55.7% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 1% จาก 1.25% เป็น 0.25% และมีความน่าจะเป็น 44.3% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.75% เป็น 0.5%